สังคหวัตถุ 4


สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้

2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้

เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

พรหมวิหาร 4

ความหมายของพรหมวิหาร 4
- พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่

เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา การรู้จักวางเฉย

คำอธิบายพรหมวิหาร 4
1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น

2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

- ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และ
ความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์

- ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์

3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง

4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

ที่มาhttp://www.learntripitaka.com/scruple/sank4.html

อิทธิบาท 4 บาทฐานแห่งความสำเร็จ

อิทธิบาท 4

คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ

๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน

ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ

วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง

จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่

วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่

ที่มา http://www.learntripitaka.com/scruple/Itibaht4.html

อริยสัจ 4

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ส่วนหนึ่งของ
พุทธศาสนา

Dharma Wheel.svg สถานีย่อย


Dham-jak.gif
ประวัติพุทธศาสนา

ศาสดา

พระโคตมพุทธเจ้า
(พระพุทธเจ้า)

จุดมุ่งหมาย
นิพพาน
ไตรรัตน์

พระพุทธ · พระธรรม · พระสงฆ์

ความเชื่อและการปฏิบัติ
ศีล (ศีลห้า) · ธรรม (เบญจธรรม)
สมถะ · วิปัสสนา
บทสวดมนต์และพระคาถา
คัมภีร์และหนังสือ
พระไตรปิฎก
พระวินัยปิฎก · พระสุตตันตปิฎก · พระอภิธรรมปิฎก
หลักธรรมที่น่าสนใจ
ไตรลักษณ์
อริยสัจ ๔ · มรรค ๘ · อิทัปปัจจยตา
นิกาย
เถรวาท · อาจริยวาท (มหายาน) · วัชรยาน · เซน
สังคมพุทธศาสนา
ปฏิทิน · บุคคล · วันสำคัญ · ศาสนสถาน · วัตถุมงคล
การจาริกแสวงบุญ
พุทธสังเวชนียสถาน ·
การแสวงบุญในพุทธภูมิ
ดูเพิ่มเติม
ศัพท์เกี่ยวกับพุทธศาสนา
หมวดหมู่พุทธศาสนา

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ และ
3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ

อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

ที่มาข้อมุูล http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88_%E0%B9%94

ทศพิธราชธรรมหรือ ทศพิธราชธรรม 10 คือจริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์

การทศพิธราชธรรม

  1. ทาน (ทานํ) หมายถึงการให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย
  2. ศีล (ศีลํ) คือความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา และใจ ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา
  3. บริจาค (ปริจาคํ) คือ การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
  4. ความซื่อตรง (อาชชวํ) คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต
  5. ความอ่อนโยน (มัททวํ) คือ การมีอ่อนโยน มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่ เสมอกันและต่ำกว่า
  6. ความเพียร (ตปํ) หรือความเพียร มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน
  7. ความไม่โกรธ (อกฺโกธ) หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏเห็นเช่นทำร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล
  8. ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น
  9. ความอดทน (ขันติ) การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจให้เรียบร้อย
  10. ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนํ) ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ
ข้อมูลนี้ใช้เพื่อการเรียนการสอน
  1. ที่มาข้อมูลนี้http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1

วิธีการติดตั้ง Windows 7 ในรูปแบบวีดีโอ

สำหรับคนที่ต้องการติดตั้ง Windows 7 ด้วยตัวเอง
ใครอยากเรียนรู้วิธีการติดตั้ง Windows 7 เชิญทางนี้ วันนี้เรามีวีดีโอวิธีการติดตั้ง Windows 7 มาให้ดูกัน คุณจะได้เห็นขั้นตอนการติตตั้งอย่างละเอียดทีละขั้นตอน และได้เห็นหน้าตาการทำงานต่างๆ แม้กระทั่วตอนบู๊ตเครื่องเพื่อเข้าสู่การติดตั้งด้วย

ในปี 2003 เป็นต้นไปเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงแบบสุดๆตอย่างหนึ่งก็คือ WiFi ซึ่งคำถามแรกของผู้ที่ได้ยินคำนี้ก็ต้องถามเป็นเสียงเดียวกันว่าแล้ว WiFi มันคืออะไรกันนะ? รู้จักแต่คำว่าไวไฟ ที่เขียนท้ายรถบรรทุกน้ำมัน


จากอดีต

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงว่า Wi-Fi มันคืออะไรนั้น เราลองมาทำความเข้าใจกันเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเรื่องระบบ Network สักนิดนะครับ การที่ คอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องจะมาเชื่อมต่อกัน เพื่อประโยชน์ในการแชร์ ข้อมูลซึ่งกันและกันหรือเอามาแชร์ Internet เพื่อใช้งาน แบบประมาณว่า ต่อ Internet เพียงแค่เครื่องเดียว เครื่องอื่นๆที่อยู่ในเครือข่ายก็สามารถใช้งาน Internet ได้ด้วย ซึ่งการต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องเข้าด้วยกันนี้ แต่เดิมนั้นเราจะใช้สาย Lan ต่อเข้ากับ Lan card ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเพื่อจะเชื่อมเข้าหา ซึ่งการต่อแบบใช้สายนี้มันมีค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก แต่จะยุ่งยากหน่อยก็ตรงที่ในบ้านเรา หรือใน office ที่เราจะเชื่อมต่อนั้น จะต้องเรียกช่างมาเดินสาย Lan เหมือนกับเดินสายไฟภายในบ้าน ซึ่งมันก็วุ่นมากทีเดียวหากเป็นบ้านที่มีคนอยู่แล้ว ต้องมานั่งรื้อข้าวของให้วุ่นวายกันไปหมด

ถึงปัจจุบัน

เหมือนกับว่าพระเจ้าเห็นใจผู้รักเทคโนโลยี จึงทำให้มีผู้คิดค้นวิธีเชื่อมต่อ Lan แบบใหม่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงสายให้มันวุ่นวาย แต่คราวนี้เราจะใช้คลื่นเชื่อมแทนครับ ฟังแค่นี้ก็ดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ
ด้วยระบบเทคโนโลยี Lan ไร้สาย 802.11 จึงเกิดขึ้นมาบนโลกเบี๊ยวๆใบนี้ โดยการพัฒนาจากสถาบันวิศวกรไฟฟ้า และ อิเลคโทรนิค หรือ
Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) นั่นเอง เลยทำให้กลายเป็นศัพท์ใหม่ที่เห็นกันบ่อยๆว่า IEEE 802.11 ซึ่งก็ได้มีการพัฒนากันมาเรื่อยจาก 802.11 ธรรมดามาเป็น 802.11b 802.11a 802.11g ซึ่งมันจะต่างกันเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลเป็นหลัก ( เดี๋ยวเราค่อยมาเล่าต่ออีกทีว่ามันต่างกันอย่างไร
)

Wi-Fi
คืออะไร


Wi-Fi ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา WIFI certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา WIFI certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย
ไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันติดปาก

เช่น Notebook ตัวนี้ หรือ PDA ตัวนี้มันมี WiFi ด้วยหละ! นั่นก็หมายความว่า อุปกรณ์ชิ้นนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องตัวอื่นในระบบ Network แบบไร้สายได้ โดยอยู่ภายใต้มาตราฐานเทคโนโลยี
802.11


Bluetooth เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์สองตัวเข้าหากันด้วยความถี่คลื่นที่ 2.4 GHz ซึ่งมีระยะการทำงานที่สั้นมากคือได้ประมาณ 30 ฟุตเป็นอย่างมากในที่โล่ง จุดประสงค์ที่เขาสร้าง Bluetooth ขึ้นมาก็เพื่อมาแทนที่สายไฟที่ระเกะระกะ ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์สองตัวเข้าหากัน เช่น Palm กับ โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์มือถือ กับ Small talk ข้อจำกัดของ Bluetooth นอกจากเรื่องของระยะทางที่สั้น แล้วเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลก็ยังต่ำกว่า Wi-Fi อีกด้วย หากเอามาใช้งานการส่งข้อมูลไม่มาก เช่น เอามาใช้ Hotsync กับเครื่อง Palm หรือ Beam file จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่อง เท่านี้คงจะไม่รู้สึกเท่าไร แต่หากจะเอา PC สองตัวมาทำระบบ Network โดยใช้ Bluetooth หละก็จะเห็นถึงความอืดอย่างชัดเจน อย่างที่ผมเคยทดสอบมา โอนไฟล์จาก PC เครื่องหนึ่งไปยัง อีกเครื่องหนึ่ง รอกันเบื่อกันไปข้างเลยครับ สรุปง่ายๆก็คือว่า Bluetooth เหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Device เล็กเข้ากัน ด้วยระยะทางเพียงสั้นๆ เพื่อสร้าง Network แบบกระจุ๋มกระจิ๋มส่วนตัว ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า PAN ( Personal area network )

สร้างเครือข่ายส่วนตัวใช้เองดีกว่า ( Wi-Fi ในบ้าน )

แนะนำกันไปยืดยาวจนคอแห้งแล้วนะครับว่า Wireless Lan ที่มักเรียกกันติดปากว่า Wi-Fi มันคืออะไร สมัยนี้เรื่องการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์เขากำลังเป็นที่นิยม เพราะเขาเชื่อกันว่าในบ้านสมัยนี้เขามักจะมีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องดังนั้นเราก็น่าจะเอาคอมพิวเตอร์ในบ้านทั้งหมด มาต่อเชื่อมกันเพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ตหรือ Printer จะได้ช่วยกันประหยัด หรือเอาแบบ เท่ห์ๆหน่อยก็ ส่ง msn หรือ email ไปเรียก คุณพ่อ หรือคุณ แม่ที่อยู่ชั้นสองให้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน ก็ยังได้ หรือหากบ้านไหนอยู่กันเยอะๆก็อาจจะมาเล่นเกมส์ร่วมกันบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ได้
แต่ยุคนี้หากจะสร้างเครือข่ายกันในบ้าน หากยังใช้แบบมีสายอยู่ก็อาจจะดูไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไรนัก เพราะต้องเรียกช่างมาเดินสายภายในบ้าน หากเป็นบ้านที่อยู่แล้วก็ยิ่งลำบากใหญ่ ดังนั้นหากเราใช้ Wi-Fi ก็จะทำให้การสร้างเครือข่ายนั้นง่ายขึ้นครับ คล่องตัวมากทีเดียว เราอาจจะเอา Notebook ไปนั่งเล่น อินเตอร์เน็ต กลางสวนหลังบ้านก็ยังได้ สำหรับงบประมาณการสร้างเครือข่ายไร้สายแบบ Wi-Fi นี้ก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 6500-9000 บาทครับ อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี Access Point 1 ตัว + USB wireless lan card อีกสัก 2 ตัว


Hot spot คืออะไร? ( Wi-Fi นอกบ้าน )

ผมเชื่อว่าหมู่นี้เรามักจะได้ยินคำว่า Hot spot มากขึ้น แล้วเจ้า Hot spot มันมาเกี่ยวโยงอะไรกับ Wi-Fi ได้ไง เดี๋ยวเรามาดูกันครับ ผมขอเกริ่นเล็กๆน้อยๆกันก่อนว่า ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่น อินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ

1. ไปหา Internet Cafe' อันนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด ค่าใช้จ่ายตกประมาณชั่วโมงละ 30-50 บาทโดยเฉลี่ย แต่มีข้อดีที่ว่าสะดวกง่ายดาย อยากใช้เมื่อไรวิ่งหาร้านจ่ายสตางค์แล้วลุยกันได้เลย แต่ข้อเสียก็มีครับ คือเราไม่สามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เราทำงานบนเครื่อง PC ที่บ้านได้ ถึงจะทำได้ก็ค่อนข้างวุ่นวายมากทีเดียว หากลืมไฟล์ไว้ที่ PC ที่บ้านก็จบกัน ส่วนมากจะใช้หาข้อมูลจาก www , เช็ค email หรือ chat เสียมากกว่า และเรื่องของความปลอดภัยในข้อมูลที่เรากรอกไว้ที่เครื่อง PC ในร้านก็ค่อนข้างเสี่ยง และความเร็วของ อินเตอร์เน็ตในแต่ละร้านก็ค่อนข้างจะเอาแน่เอานอนไม่ได้เสียด้วย

2.ใช้ GPRS โดยนำ Notebook หรือ PDA ต่อ อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ GPRS วิธีนี้ดูเหมือนจะ เดิ้ล มากพอสมควร แบบสามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีคลื่นโทรศัพท์ เรื่องของค่าใช้จ่ายก็จะคิดตามปริมาณข้อมูลรับส่ง หากเป็นการใช้งานบนเครื่อง PDA อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่หากเป็น Notebook อาจจะค่อนข้างเปลืองมากกว่า แต่ก็นับว่าโชคดีที่สมัยนี้ยังมี GPRS แบบไม่จำกัดปริมาณการใช้งานอยู่เลยทำให้ผู้ที่ได้รับโปรโมชั่นนี้อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไรนัก แต่เรื่องของความเร็วของ GPRS นั้นยังมี speed ที่ประมาณ 40 Kbps

3.Hotspot เป็นบริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless Lan หรือที่เรียกกันติดปากว่า Wi-Fi ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งชุมชน ต่างๆ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล การใช้บริการ Hotspot นี้ อาจจะต้องลงทุนสูงสักนิด เพราะสองสิ่งหลักที่เราต้องมีก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ PDA และ Wireless Lan card ( ราคาประมาณ 1500-2000 บาท ) แต่หาก Notebook หรือ PDA บางรุ่นมี Wi-Fi ในตัวก็สบายไปหน่อยไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ข้อดีของการใช้ Wi-Fi ก็คือ สถานที่ที่บริการ อินเตอร์เน็ตสาธาณะที่เรียกกันว่า Hot Spot นี้เขามักจะบริการด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แบบเปิดเว็บปุ๊ปมาปั๊ป ค่อนข้างทันใจ และเราสามารถยก office ไปนั้งทำงานตามร้านกาแฟได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆของเรานั้นก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว แบบประมาณว่าจัดประชุมนัดลูกค้ามาคุยกันนอกสถานที่เลยก็ได้ แต่ Hot Spot ในบ้านเรานั้นเรียกว่ายังใหม่ กิ๊ก อยู่เลยครับ ทำให้อัตราค่าบริการยังค่อนข้างสูงมากทีเดียว แต่บางที่ก็บริการฟรีนะครับ จุดให้บริการก็เริ่มทยอยเปิดกันเรื่อยๆ แต่เรื่อง Hotspot นี้ในบ้านเรานับว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มากพอสมควร การใช้งานอาจจะยังขัดๆเขินกันบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับในต่างประเทศนั้นมันเป็นสิ่งที่ฮิตมากทีเดียว หากเป็นรางวัลก็ต้องขอมอบรางวัลแบบ ออสการ์ให้ไปเลย เพราะว่ามันเป็นที่นิยมอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่มา
http://www.mrpalm.com/wifi/what.php

Toshiba ประจำเดือนสิงหาคม 2553
, 10966 Downloads
+ Share to my
ขอ สงวนสิทธิ์ราคาสิ้นค้าใน Brochure ซึ่งอาจไม่ตรงกับทางร้านค้า เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง, การพิมพ์ผิด ตกหล่น, หรือไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น

แล้ว HDMI มันดีกว่าสายประเภทอื่นๆอย่างไร???
ง่ายๆเลยนะครับ ผมจะเรียงลำดับคุณภาพของสายสัญญาณจากคุณภาพ ต่ำไปหา สูง ดังนี้ครับ

1. สาย RF ที่ต่อจากสายอากาศทีวีบ้านธรรมดานี่แหละครับ ส่งสัญญาณภาพและเสียง
2. สาย Composite หรือ ที่เราเรียกว่าสาย AV นั้นเอง(ไอ้ขาวเหลือแดงนี่แหละครับ) ดีกว่า RF ขึ้นมาหน่อย คือแยกสัญญาณภาพเป็นหนึ่งสาย (เหลือง) และสัญญาณเสียงสองสาย (ขาว แดง) ช่วงวิดีโอ บูมๆ สายขาวเหลิองแดงนี่น่าจะถือว่าดีที่สุดในสมัยนั้น
3. สาย S-video จะดีกว่า AV ขาวเหลืองแดงมาอีกระดับนึงเนื่องจากจะสามารถแยกสัญญาณ สี และ แสง ได้
4. สาย Component เกิดขึ้นมาในยุคดีวีดีฟีเวอร์ครับ มีสามสายครับ เป็นสายสัญญาณแยกสี RGB (แดง เขียว ฟ้า) ซึ่งให้ความคมชัดในระดับสูงมาก โดยเฉพาะเรื่องสีสัน สายแพงๆ นี่หลายพันเลย
5.ส่วนสายที่จัดได้ว่ามีคุณภาพดีที่สุดในปัจจุบันก็คือคือสาย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้น เดียว ที่กล่าวถึงมาข้างต้นนี่เองครับ
ที่มาข้อมูลhttp://www.lcdtvthailand.com/article/detail.asp?param_id=7