ไฮโดรโปนิกส์

ไฮโดรโปนิกส์

กว่า 150 ปีมาแล้ว ที่มนุษย์เรารู้จักการปลูกพืชแบบไม่อาศัยดินโดยในเริ่มแรกนั้น มีจุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการศึกษาว่า แร่ธาตุชนิดใดบ้าง ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช จนเมื่อปี ค.ศ.1925 ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา ต่างเริ่มหาทางเลือกใหม่สำหรับการปลูกพืชในโรงเรือน เพราะการเพาะปลูกแบบอาศัยดินนั้น สร้างปัญหาให้มากกมาย นอกจากนี้ในวงการวิจัยเองก็มีการตื่นตัวทำการทดลองเกี่ยวกับการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินเพื่อเป็นการค้าขึ้น มากระทั่งปี ค.ศ.1930 คำว่า "ไฮโดรโปนิกส์" เริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นโดย ดร.เจอร์ริค แห่งมหาวิทยาลัยมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้ทำการทดลองปลูกพืชโดยใช้เทคนิควิธีการปลูกพืชในน้ำสารละลายอาหารเป็นผลสำเร็จ และนับจากนั้น การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินก็ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ไฮโดรโปนิกส์ เป็นการปลูกพืชแบบไม่ใช้วัสดุปลูก (nonsubstrate หรือ water cuture) ซึ่งเป็นลักษณะของการปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืช โดยให้รากสัมผัสกับสารอาหารโดยตรงนั่นเองโดยสามารถแบ่งวิธีการปลูกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)


NFT (Nutrient Film Technique) เป็นวิธีการให้สารละลายธาตุอาหาร มีการไหลหมุนเวียน โดยรากพืชจะได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ ด้วยหลักการทำงานง่ายๆ คือ ให้สารอาหารไหลผ่านรากพืช เป็นลักษณะสายน้ำบางๆ เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับรากพืชโดยตรง ระบบน้ำจะหมุนเวียนกลับมาใช้งานได้ต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการนี้เป็นที่นิยมในประเทศไทยในขณะนี้ DRF (Dynamic Root Floating Technique) เป็นระบบการให้สารอาหารแก่รากพืชโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีการเติมอากาศด้วยการใช้ปั๊มลม ช่วยในการให้ออกซิเจน โดยรากพืชจะจุ่มอยู่ในสารอาหารโดยตรงและสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า "การปลูกพืชแบบลอยน้ำ" วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะใช้พื้นที่เล็ก ประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถใช้เวลาว่างปลูกเป็นงานอดิเรก
DFT (Deep Flow Technique) เป็นระบบปลูกที่ให้สารละลายธาตุอาหาร ไหลผ่านรากพืชอย่างต่อเนื่องและหมุนเวียน เหมือนการปลูกพืชแช่น้ำ ซึ่งระดับน้ำจะไม่สูงนักราว 5-10 ซม. โดยน้ำจะไหลผ่านรากพืชอย่างช้าๆ สม่ำเสมอ


ข้อดีของระบบไฮโดรโปนิกส์


1.สามารถปลูกพืชได้ทั้งปี เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตให้สูงขึ้นกว่าแบบเก่า 50-100% และยังสามารถออกแบบให้ประหยัดพื้นที่การปลูกได้ด้วย
2.ดูแลได้ทั่วถึง เนื่องจากเป็นระบบที่ง่ายต่อการควบคุมและป้องกันโรคและแมลง ไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลง 100% และไม่มีปัญหาในการกำจัดวัชพืชในพื้นที่ปลูก ประหยัดน้ำและปุ๋ย เพราะสามารถควบคุมได้ตามที่พืชต้องการ ไม้ต้องไถพรวน
3.สามารถลดการทำลายหรือชะล้างหน้าดิน มีผลผลิตสม่ำเสมอ และอายุเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น เนื่องจากพืชสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ได้อย่างสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีความสะอาด สด คุณภาพดี และที่สำคัญคือ ปลอดสารพิษ สามารถพัฒนาการปลูกไปในเชิงพาณิชย์ได้



ข้อเสียของระบบไฮโดรโปนิกส์
4.เนื่องจากมีการดัดแปลงแก้ไขและปรับปรุงในระบบเรื่อยมา ทำให้ลดข้อเสียต่างๆ ที่เคยพบในอดีตลงไปได้มาก เช่น ข้อเสียในเรื่องของเทคโนโลยีต่างประเทศที่ราคาค่อนข้างสูง ตอนนี้สามารถใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านดัดแปลงได้ ซึ่งผลผลิตที่ได้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
5.ความหลากหลายของพืชที่ปลูกไร้ดิน ในระยะแรกจะปลูกเฉพาะผักต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบันนี้ สามารถปลูกได้ทั้งผักไทย ผักจีน และผักต่างประเทศ
6.ผู้ปลูกต้องมีความรู้อย่างแท้จริงต่อการปลูกพืชไร้ดิน ซึ่งในปัจจุบันได้มีเอกสารแนะนำ และสามารถขอข้อมูลได้จากสำนักงานเกษตรในทุกพื้นที่ เรื่องของตลาด ในปัจจุบันไม่ถือเป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีต่อเกษตรกรที่สนใจทำธุรกิจการปลูกพืชไร้ดินมากขึ้น


ที่มาข้อมูล : http://www.panoramaworldwide.com

ปรากฏการณ์ ข้างขึ้น - ข้างแรม

ปรากฏการณ์ ข้างขึ้น - ข้างแรม
หลายท่านอาจเคยสงสัยว่าดวงจันทร์ที่เราเห็นอยู่ทุกๆ ค่ำคืนนั้น (หรือบางวันอาจมองไม่เห็น) ทำไมจึงมีรูปร่างที่ต่างกันออกไป บางวันก็เป็นดวงจันทร์เต็มดวง บางวันก็เป็นดวงจันทร์เสี้ยวเสี้ยวด้านซ้ายบ้าง เสี้ยวด้านขวาบ้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?การที่เราเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างต่างกันออกไปในแต่ละวันนั้น เราเรียกว่า ดิถี หรือ เฟส หรือ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม ของดวงจันทร์ (lunar phase) เกิดจากการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกทำมุมระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ที่ต่างกันออกไป ทำให้เรา (ที่อยู่บนโลก) สังเกตเห็นดวงจันทร์มีส่วนที่สว่างที่ไม่เท่ากันในแต่ละคืน โดยที่คาบเวลาของการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์เป็น 29.5 วัน เราจึงเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างเหมือนเดิมทุกๆ 29.5 วันนั่นเอง เช่นเราจะเห็นดวงจันทร์เต็มดวง (หรือจันทร์วันเพ็ญ) ทุกๆ 29.5 วัน (หรือคิดง่ายๆ คือ ประมาณ 30 วัน)


เราแบ่งดิถีของดวงจันทร์ตามที่เรามองเห็นได้ดังนี้
เดือนมืด (New Moon) ตรงกับ แรม 15 ค่ำ (บางเดือนอาจเป็น แรม 14 ค่ำ) เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์อยู่หน้าดวงอาทิตย์นั่นเอง ในวันนี้ดวงจันทร์จะหันด้านมืดเข้าหาโลก ดังนั้น เราจะมองไม่เห็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกว่า คืนเดือนมืด หรือ จันทร์ดับ ในความเป็นจริงในวันเดือนมืดตำแหน่งของดวงจันทร์จะอยู่กลางศีรษะเราพอดีในเวลาประมาณเที่ยงวัน แต่เราจะไม่เห็นดวงจันทร์ เนื่องจากดวงจันทร์หันด้านมืดเข้าหาโลกและแสงจากดวงอาทิตย์มีความสว่างมาก
คืนเดือนมืด ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
วันเพ็ญ (Full Moon) ตรงกับ ขึ้น 15 ค่ำ เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ โดยแสงจากดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับดวงจันทร์พอดี ในวันนี้ดวงจันทร์จะหันด้านสว่างเข้าหาโลกดังนั้นเราจะมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวง โดยเห็นดวงจันทร์ปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกตั้งแต่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกตอน 6 โมงเช้า ของอีกวันหนึ่ง โดยดวงจันทร์จะอยู่กลางศีรษะพอดีที่เวลาเที่ยงคืน
คืนวันเพ็ญ ดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ข้างขึ้น (Waxing) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ โดยมีด้านเสี้ยวสว่างของดวงจันทร์หันไปด้านทิศตะวันตก ซึ่งแบ่งออกเป็นสามช่วงดังนี้

ช่วง 1-7 วันหลังจากคืนเดือนมืด หรือตั้งแต่ ขึ้น 1 ค่ำจนกระทั่ง ขึ้น 7 ค่ำ เราจะเห็นดวงจันทร์เป็นเสี้ยวสว่างตั้งแต่เสี้ยวบางๆ ในขึ้น 1 ค่ำ จนกระทั่งสว่างประมาณครึ่งดวงใน ขึ้น 7 ค่ำ ซึ่งในภาษาอังกฤษจะเรียกช่วงนี้ว่า Waxing Crescent ในช่วงนี้เราจะเห็นดวงจันทร์ตกที่ขอบฟ้าตะวันตกในช่วงหัวค่ำ (6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืน)
ข้างขึ้นตั้งแต่ ขึ้น 1 ค่ำจนกระทั่ง ขึ้น 7 ค่ำ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ในวันที่ 8 เราจะเห็นดวงจันทร์ครึ่งดวงเป็นครั้งแรก หรือตรงกับวัน ขึ้น 8 ค่ำ ภาษาอังกฤษเรียกวันนี้ว่า First Quater เป็นวันที่ดวงจันทร์ทำมุมกับโลกและดวงอาทิตย์ 90 องศา โดยดวงจันทร์จะเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกที่เวลาเที่ยงวัน และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกที่เวลาประมาณเที่ยงคืน
ข้างขึ้น ขึ้น 8 ค่ำ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ช่วงวันที่ 9-14 หรือตั้งแต่ ขึ้น 9 ค่ำ จนกระทั่ง ขึ้น 14 ค่ำ เราจะเห็นดวงจันทร์ด้านสว่างที่ค่อนข้างใหญ่คือ มากกว่าครึ่งหนึ่งไปจนถึงเกือบเต็มดวง (ในวัน ขึ้น 14 ค่ำ) ซึ่งในภาษาอังกฤษจะเรียกช่วงนี้ว่า Waxing Gibbous ในช่วงนี้ดวงจันทร์จะเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกที่หลังเวลาเที่ยงวัน และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกหลังเวลาเที่ยงคืน
ข้างขึ้นตั้งแต่ ขึ้น 9 ค่ำจนกระทั่ง ขึ้น 14 ค่ำ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ข้างแรม (Waning) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนวันเพ็ญจนถึงคืนเดือนมืด โดยมีด้านเสี้ยวสว่างของดวงจันทร์หันไปด้านทิศตะวันออก ซึ่งแบ่งออกเป็นสามช่วงเช่นเดียวกันกับข้างขึ้นดังนี้
ช่วง 1-7 วันหลังจากคืนวันเพ็ญ หรือตั้งแต่ แรม 1 ค่ำ จนกระทั่ง แรม 7 ค่ำ เราจะเห็นดวงจันทร์ด้านสว่างที่ค่อนข้างใหญ่คือตั้งแต่เกือบเต็ม (แรม 1 ค่ำ) จนไปถึงครึ่งดวง (แรม 7 ค่ำ) ซึ่งในภาษาอังกฤษจะเรียกช่วงนี้ว่า Waning Gibbous ในช่วงนี้ดวงจันทร์จะเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกที่หลังเวลา 6 โมงเย็น และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกหลังเวลา 6 โมงเช้า
ข้างแรมตั้งแต่ แรม 1 ค่ำจนกระทั่ง แรม 7 ค่ำ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ในวันที่ 8 เราจะเห็นดวงจันทร์ครึ่งดวงเป็นครั้งที่สอง หรือตรงกับวัน แรม 8 ค่ำ ภาษาอังกฤษเรียกวันนี้ว่า Last Quater เป็นวันที่ดวงจันทร์ทำมุมกับโลกและดวงอาทิตย์ 90 องศา โดยดวงจันทร์จะเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกที่เวลาเที่ยงคืน และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกที่เวลาประมาณเที่ยงวัน โดยมีด้านมืดและด้านสว่างของดวงจันทร์ในคืน แรม 8 ค่ำ นี้ จะอยู่สลับกันกับคืนวัน ขึ้น 8 ค่ำ
ข้างแรม แรม 8 ค่ำ และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น
ช่วงวันที่ 9-14 (หรือ 9-13) หรือตั้งแต่ แรม 9 ค่ำ จนกระทั่ง แรม 14 ค่ำ (หรือ แรม 13 ค่ำ) เราจะเห็นดวงจันทร์ด้านสว่างน้อยกว่าครึ่งดวง ซึ่งในภาษาอังกฤษจะเรียกช่วงนี้ว่า Waning Crescent ในช่วงนี้ดวงจันทร์จะเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกที่หลังเวลาเที่ยงคืน และตกที่ขอบฟ้าตะวันตกหลังเวลาเที่ยงวัน
ข้างแรม ตั้งแต่ แรม 9 ค่ำจนกระทั่ง แรม 14 ค่ำ (หรือ แรม 13 ค่ำ) และภาพดวงจันทร์ที่มองเห็น

ที่มาข้อมูล : http://www.space.mict.go.th