ฤดูกาลในประเทศไทย
1. ฤดูร้อน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม
2. ฤดูฝน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม
3. ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
ฤดูร้อนเริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นระยะที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะเดือนเมษายนบริเวณประเทศไทย มีดวงอาทิตย์อยู่เกือบตรงศรีษะในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่ สภาวะอากาศจึงร้อนอบอ้าวทั่วไป ในฤดูนี้แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีอากาศร้อนและแห้งแล้ง แต่บางครั้งอาจมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทยตอนบน ทำให้เกิดการปะทะกันของมวลอากาศเย็น กับมวลอากาศร้อนที่ปกคลุมอยู่เหนือประเทศไทย ซึ่งก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง หรืออาจมีลูกเห็บตกก่อให้เกิดความเสียหายได้ พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นในฤดูนี้มักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพายุฤดูร้อน
ลักษณะอากาศในฤดูร้อนพิจารณาจากอุณหภูมิสูงสุดของแต่ละวัน โดยมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้
- อากาศร้อน อุณหภูมิระหว่าง 35.0 ซ. - 39.9 ซ.
- อากาศร้อนจัด อุณหภูมิตั้งแต่ 40.0 ซ. ขึ้นไป
ฤดูฝน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม เมื่อมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย และร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านประเทศไทย ทำให้มีฝนชุกทั่วไป ร่องความกดอากาศต่ำนี้ปกติ จะพาดผ่านภาคใต้ในระยะต้นเดือนพฤษภาคม แล้วจึงเลื่อนขึ้นไปทางเหนือตามลำดับ จนถึงช่วงประมาณปลายเดือนมิถุนายน จะพาดผ่านอยู่บริเวณประเทศจีนตอนใต้ ทำให้ฝนในประเทศไทยลดลงระยะหนึ่ง และเรียกว่าฝนทิ้งช่วง ซึ่งอาจนานประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หรือบางปีอาจเกิดขึ้นรุนแรง และมีฝนน้อยนานนับเดือน ในเดือนกรกฎาคมปกติร่องความกดอากาศต่ำ จะเลื่อนกลับลงมาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน พาดผ่านบริเวณประเทศไทยอีกครั้ง ทำให้มีฝนชุกต่อเนื่อง และปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฏาคมเป็นต้นไป จนกระทั่งมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย แทนที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ประมาณกลางเดือนตุลาคม ประเทศไทยตอนบนจะเริ่มมีอากาศเย็นและฝนลดลง โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นแต่ภาคใต้ยังคงมีฝนชุกต่อไปจนถึงเดือนธันวาคม และมักมีฝนหนักถึงหนักมากจนก่อให้เกิดอุทกภัย โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออก ซึ่งจะมีปริมาณฝนมากกว่าภาคใต้ฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นฤดูฝนอาจจะช้าหรือเร็วกว่ากำหนดได้ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์
เกณฑ์การพิจารณาปริมาณฝนในระยะเวลา 24 ชั่วโมงของแต่ละวันตั้งแต่เวลา 07.00 น. ของวันหนึ่งถึงเวลา 07.00 น.ของวันรุ่งขึ้นตามลักษณะของฝนที่ตกในประเทศที่อยู่ในเขตร้อนย่านมรสุมมีดังนี้
- ฝนวัดจำนวนไม่ได้ ปริมาณฝนน้อยกว่า 0.1 มิลลิเมตร
- ฝนเล็กน้อย ปริมาณฝนระหว่าง 0.1 - 10.0 มิลลิเมตร
- ฝนปานกลาง ปริมาณฝนระหว่าง 10.1 - 35.0 มิลลิเมตร
- ฝนหนัก ปริมาณฝนระหว่าง 35.1 - 90.0 มิลลิเมตร
- ฝนหนักมาก ปริมาณฝนตั้งแต่ 90.1 มิลลิเมตรขึ้นไป
ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุมประเทศไทยตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ในช่วงกลางเดือนตุลาคมนาน 1-2 สัปดาห์ เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว อากาศแปรปรวน ไม่แน่นอน อาจเริ่มมีอากาศเย็น หรืออาจยังมีฝนฟ้าคะนอง โดยเฉพาะบริเวณภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกลงไปซึ่งจะหมดฝน และเริ่มมีอากาศเย็นช้ากว่าภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะอากาศในฤดูหนาวพิจารณาจากอุณหภูมิต่ำสุดของแต่ละวัน โดยมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้
- อากาศหนาวจัด อุณหภูมิต่ำกว่า 8.0 ซ.
- อากาศหนาว อุณหภูมิระหว่าง 8.0 ซ. - 15.9 ซ.
- อากาศเย็น อุณหภูมิระหว่าง 16.0 ซ. - 22.9 ซ.
ลมมรสุม
เป็นการหมุนเวียนส่วนหนึ่งของลมที่พัดตามฤดูกาล คือลมประจำฤดูเป็นลมแน่ทิศและสม่ำเสมอ คำว่า “มรสุม” หรือ monsoon มาจากคำว่า mausimในภาษาอาหรับ แปลว่า ฤดูกาล (season) สาเหตุใหญ่ๆ เกิดจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของพื้นดิน และพื้นน้ำในฤดูหนาวอุณหภูมิของพื้นดินเย็นกว่า อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทร อากาศเหนือพื้นน้ำจึงมีอุณหภูมิสูงกว่า และลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน อากาศเหนือทวีปซึ่งเย็นกว่าไหลไปแทนที่ ทำให้เกิดเป็นลมพัดออกจากทวีป พอถึงฤดูร้อนอุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปร้อนกว่าน้ำในมหาสมุทร เป็นเหตุให้เกิดลมพัดในทิศทางตรงข้าม ลมมรสุมที่มีกำลังแรงจัดที่สุดได้แก่ ลมมรสุมที่เกิดในบริเวณภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
|
ทิศทางลมมรสุม ![]() |
การแบ่งภาคตามภูมิศาสตร์ของปรเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเซียระหว่างละติจูด 5 องศา 37 ลิปดา เหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดา เหนือ และระหว่างลองจิจูด 97 องศา 22 ลิปดา ตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดา ตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศใกล้เคียงดังนี้ ทิศเหนือ ติดประเทศพม่าและลาว ทิศตะวันออก ติดประเทศลาว กัมพูชา และอ่าวไทย ทิศใต้ ติดประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตก ติดประเทศพม่าและทะเลอันดามัน 1. ภาคเหนือ ประกอบด้วย 15 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชรพิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย 19 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี 3. ภาคกลาง ประกอบด้วย 18 จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง สระบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร 4. ภาคตะวันออก ประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ นครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด 5. ภาคใต้ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้ ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ประกอบด้วย 10 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล |
แผนที่แสดงการแบ่งภาค และจังหวัดของประเทศไทย ![]() |
บรรยากาศ
อากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา และที่หุ้มห่อโลกจากตั้งแต่พื้นดินขึ้นไป จนถึงระดับที่สูงสุดในท้องฟ้าเราเรียกว่า บรรยากาศ อากาศ หรือบรรยากาศ เป็นส่วนผสมของก๊าซต่าง ๆ รวมทั้งไอน้ำ ซึ่งระเหยมาจากพื้นน้ำในแหล่งต่างๆด้วย อากาศที่ไม่มีไอน้ำอยู่ด้วยเราเรียกว่า อากาศแห้ง ส่วนอากาศที่มีไอน้ำปนอยู่ด้วยเราเรียกว่า อากาศชื้น ไอน้ำในบรรยากาศมีอยู่ระหว่างร้อยละ 0–4 ของอากาศทั้งหมด แต่ไอน้ำเป็นส่วนผสมสำคัญยิ่งของอากาศ เพราะไอน้ำเป็นสาเหตุของการเกิดฝน ลม พายุ ฟ้าแลบและฟ้าร้อง อากาศแห้งมีส่วนผสมของอากาศโดยประมาณ ดังนี้ ไนโตรเจน ร้อยละ 78 , ออกซิเจน ร้อยละ 21 , อาร์กอน ร้อยละ 0.93 , ก๊าซ อื่น ๆ ร้อยละ 0.07 ตามปกติในธรรมชาติจะไม่มีอากาศแห้งแท้ ๆ อากาศทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นอากาศชื้น คือ มีไอน้ำปนอยู่ด้วยตั้งแต่ร้อยละ 0–4 ซึ่งหมายความว่า ถ้าอากาศชื้นมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะมีไอน้ำอยู่อย่างมากได้เพียง 40 กรัม เมื่ออากาศมีไอน้ำปนอยู่ด้วยจำนวนส่วนผสมของก๊าซอื่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปบางเล็กน้อย |
บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ เป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด ที่อยู่สูงจาากพื้นโลกขึ้นไป มีระยะความสูงประมาณ 10-12 กม. ประกอบด้วยส่วนผสมของก๊าซชนิดต่าง ๆ และไอน้ำ อุณหภูมิของอากาศจะลดลง ตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น จนถึงระดับที่เรียกว่า โทรโพพอส ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของบรรยากาศชั้นนี้ นอกจากนี้บรรยากาศในชั้นนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวของอากาศ ทั้งในแนวนอน และแนวดิ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ทางอุตุนิยมวิทยาต่าง ๆ ในบรรยากาศชั้นนี้ มากมายเช่น การก่อตัวของเมฆ ฝน พายุ ลมกรด ฯลฯ บรรยากาศชั้นสตราโทสเฟียร์ ชั้นนี้อยู่สูงจากชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไป มีแนวกั้นระหว่างชั้นที่เรียกว่า โทรโพพอส บรรยากาศชั้นนี้จะมีก๊าซโอโซนอยู่ และด้วยคุณสมบัติในการดูดแงอัลตราไวโอเล็ต หรือแสงเหนือม่วงไว้ จึงทำให้อุณหภูมิของอากาศ ในชั้นนี้เพิ่มขึ้นตามความสูง ชั้นสูงสุดของบรรยากาศชั้นนี้เรียกว่า สตราโทพอส ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 50-55 กม. บรรยากาศชั้นเมโซสฟียร์ เป็นชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปต่อจากชั้น สตราโทสเฟียร์ มีเขตกั้นระหว่างชั้นบรรยากาศทั้งสอง ที่เรียกว่า สตราโทพอส บรรยากาศชั้นนี้อยู่สูงขึ้นไป จนถึงระดับความสูง 85 กม. จากพื้นดิน และอุณหภูมิของอากาศจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผ่านพ้นเขตสตราโทพอสขึ้นไป ชั้นสูงสุดของบรรยากาศชั้นนี้เรียกว่า เมโซพอส เป็นเขตที่ตั้งระหว่างบรรยากาศชั้น เมโซสเฟียร์กับเทอร์มอสเฟียร์ |
บรรยากาศชั้นเทอร์มอสเฟียร์ เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มโลกอยู่ลักษณะเด่นของบรรยากาศในชั้นนี้ก็คือ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นตามความสูงไม่มีที่สิ้นสุด โดยบรรยากาศในชั้นนี้จะมีการแตกตัวของโมเลกุลของก๊าซต่าง ๆ มากที่สุด มีประจุไฟฟ้าอิสระอยู่มาก จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบรรยากาศชั้น ไอโอโนสเฟียร์ ซึ่งหมายความถึง การมีประจุไฟฟ้าอิสระอยู่มาก สามารถสะท้อนวิทยุคลื่นสั้นได้ จึงเป็นชั้นบรรยากาศ ที่ใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคมทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่มา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=42 |
สื่อวิชาฟิสิกส์ที่ว่า ประกอบด้วย
สื่อวิชาฟิสิกส์เรื่องการเคลื่อนที่แบบโปรเจ็คไทล์ ดังภาพ ดูก่อนครับเอาล่ะ ดูแล้ว ก็อย่าใจร้อน ว่า ไอ้ปุ่มโหลด อยู่ไหน ฟังผมก่อน
สื่อวิชาฟิสิกส์ของผมต้องเรียนก่อนว่า อาจจะออกศัพท์ไม่ถูกต้อง ต้องขออภัย คุณครูที่สอนฟิสิกส์ทุกท่าน มันนานมาแล้ว ลืมหมดแล้ว จำได้แค่นี้ก็บุญแล้วครับ
ดูจากภาพแล้ว เห็นรูปปืนเป็นพระเอกแน่นอนครับ สื่อนี้เราจะทดสอบการเคลื่อนที่ของวิถีกระสุน มันต้องเป็นโค้งแบบโปรเจ็คไทล์ แน่ ๆ เพราะเรากำลังพูดเรื่องนี้กันอยู่
เจ้าปืนนี้ ลูกกระสุน ถูกกำหนดความเร็ว V ไว้แล้ว คือ 31.3 เมตร ต่อ วินาที แต่ความสูงเรากำหนดปรับเปลี่ยนได้ครับ ลองเลื่องปุ่ม เหมือนที่ปรับเสียงเครื่องเสียงดูครับ สังเกตว่าปืน เคลื่อนตามใช้ไหมครับ
และอีกตัวที่เราขยับได้ คือ มุม เงย หรือ ก้ม ของปืน เรา สามารถปรับได้ครับ ที่วอลลุ่ม หรือ คลิกที่ช่องแล้วเติมตัวเลขลงไปเลย
ที่นีก็กด ปุ่ม ยิง สีเขียว ๆ นั้นไง เห็นไหมครับกดเลย
เมื่อกดแล้ว ก็ได้ดังรูป เห็นแนววิถีโค้งของลูกกระสุนไหมครับ แต่เราจะได้ค่าที่น่าสนใจ คือด้านล่าง นั้นไง ค่าเวลา t มีหน่วยเป็นวินาที ที่เรากระสุนใช้เดินทางจากปืนจนถึงพื้น และได้ค่า ระยะทาง x มีหน่วยเป็นเมตร ครับ
โหลดไปใช้ได้เลย ที่นี้ครับ
อันที่สอง สื่อวิชาฟิสิกส์ เรื่อง การบวกเว็คเตอร์ แบบ 2 เว็คเตอร์ หลาย ๆ ท่านอาจจะดูเหมือนว่าง่าย ๆ แต่ผมลองนั่งดูเด็กนักเรียนเข้าทำ ก็ไม่ถือว่าง่าย
เอาน่า เอาเป็นว่า ไปช่วยเสริมเด็กให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น มันก็น่าจะดีใช่ไหมครับ
สื่อวิชาฟิสิกส์ เรื่องนี้ คุณครูมีหน้าที่อย่างเดียว ครับ กดปุ่ม สีเขียว เพื่อชมการแสดงขั้นตอน ทั้งหมด 4 ขั้นตอน
กดไป กดไป มันก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย อยากดูใหม่ กดปุ่ม << สีเขียวนั้นแหล่ะครับ
เป็นไงครับ ดีไหม ไม่ดีก็ไม่ต้องเอา แต่ถ้า OK ใช้ได้ โหลดเอาไปใช้ที่นี้ครับ
และ อันที่สาม สื่อวิชาฟิสิกส์ เรื่อง การบวกเว็คเตอร์ แบบ 3 เว็คเตอร์ ผมนำเสนอ เพียงรูปเดียวน่ะครับ เพราะมัน same same เหมือน ๆ กัน คุณครูใช้อันข้างบนได้แล้ว ข้างล่างก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่า ด้านล่างนี้เพิ่มจำนวน เว็คเตอร์มาอีกตัว ดังรูป
แล้วก็โหลดเอาที่นี้ ครับ วิธีการโหลด ก็ศึกษาเอาหน่อยก็แล้วกัน ผมคิดว่า สื่อวิชาฟิสิกส์ที่ผมนำเสนอนี้ คงมีประโยชน์ ต่อคุณครูไม่มากก็น้อย ลองใช้ดูครับ
ขอให้สนุกกับสื่อวิชาฟิสิกส์ น่ะครับ วันนี้ผมขอสวัสดีครับ
ที่มา http://4-teachers-download.blogspot.com/search/label/สื่อวิชาฟิสิกส์ครูนรินทร์ อนงค์ชัย ตำแหน่ง ครู โรงเรียนเทพอุดมวิทยา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ รหัสไปรษณีย์ 32150anongchai@gmail.com โทร 087 - 3779 -581

บันไดสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์
พวกเราหลายๆคน ไม่ชอบวิทยาศาสตร์ เพราะคิดว่ายาก น่าปวดหัว รกสมอง แต่ในความเป็นจริง ทุกคนมีจิตใจ เป็นนักวิทยาศาสตร์ อยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย การที่เรา มีความคิดสงสัย ในข้อสงสัยต่างๆ นั่นแหละ คุณเริ่มเป็น นักวิทยาศาสตร์แล้ว เพียงแต่ว่า คุณทำอย่างไร กับปัญหาเหล่านั้น คุณหาทางออกอย่างไร กับปัญหาเหล่านั้น เมื่อคุณคิดแก้ปัญหา หาคำตอบของปัญหา ถ้าคุณทำไม่ถูกวิธี ไม่มีระบบ ไม่มีขั้นตอน การได้รับคำตอบ อาจเป็นไปได้ยาก และอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การสังเกตอย่าง พินิจ พิเคราะห์ จะนำไปสู่ การระบุปัญหา ขั้นต่อไปเราก็ต้อง คาดคะเนว่า "เอมันมีสาเหตุ มาจากอะไรนะ" หาไว้หลายๆข้อ อาจมีข้อนึงที่ต่อไป จะเป็นคำตอบ ที่ถูกต้อง ทำอย่างนี้ เรียกว่า การตั้งสมมุติฐาน แล้วต่อไปเริ่มปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบของสมมุติฐาน ทีละข้อๆ อย่างนี้ เรียกว่า การทดลอง โดยมีข้อแม้ว่า ต้องมีการควบคุม การทดลอง คือต้อง มีการ กำหนดตัวแปรต่างๆ ที่ถูกระบุในสมมุติฐาน อันนี้น่ะคงที่ อันนี้น่ะเปลี่ยน เจ้าส่วนที่เปลี่ยน นี่แหละ ที่มันจะทำให้ได้ผลการ ทดลอง ต่างๆกัน ทดลองหลายๆครั้ง จนแน่ใจ หากผลการทดลอง ขัดกับสมมุติฐาน เราอาจต้องตั้งสมมุติฐานใหม่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ โดยการบังเอิญ ซึ่งมีหลายๆเรื่อง ในวงการ วิทยาศาสตร์ ที่ถูกค้นพบ โดยความบังเอิญ คือไม่ใช่สมมุติฐาน ที่ตั้งไว้แต่แรก แต่มาตั้งทีหลัง เมื่อทำการทดลองไปแล้ว เมื่อได้ผล การทดลองแล้ว นำข้อมูล มาวิเคราะห์ แล้วสรุป ว่าจริงตาม สมมุติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่ เราเรียกขั้นสุดท้าย นี้ว่า การสรุปผล กระบวนการทั้งหมด ที่กล่าวมา รวมเรียกว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
นอกจาก จะใช้ในด้านวิทยาศาสตร์แล้วนะ กระบวนการดังกล่าว ยังสามารถ นำไปใช้ในด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น ทางด้านนิติศาสตร์ ตัวอย่างได้แก่ กระบวนการ สอบสวนคดี ของจนท.ตำรวจ ที่จะหาว่า ใครเป็นผู้ก่อ อาชญากรรม และก่ออาชญากรรม ได้อย่างไร คล้ายๆ ในหนังนักสืบ เรื่อง เชอร์ล็อกโฮล์ม นะ ขั้นแรก เขาจะต้อง ระบุปัญหา ในคดีนั้นก่อน จากนั้นจึง ตั้งสมมุติฐานของคดี เป็นข้อๆ หลายๆข้อ ว่ามีแนวทาง ที่เป็นไปได้ อย่างไรบ้าง แล้วจึงทำการทดสอบ หรือทดลอง แต่ละสมมุติฐานนั้น ซึ่งการทดสอบ ในที่นี้ ก็คือการสอบสวนเพิมเติม ในแต่ละแนวทางนั้น แล้วจึงจะทำการ วิเคราะห์ และสรุปผล เพื่อหาแนวทาง ที่ดีที่สุดหรือ มีเหตุผลที่สุดนะ
สิ่งที่ควรสังเกต
ลองสังเกต และมองหา ปัญหาง่ายๆ ที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว จากนั้น ลองตั้ง เป็นสมมุติฐาน หลายๆแบบ ลองหัดตั้ง สมมุติฐานต่างๆดูก่อน แล้วจากนั้น จึงค่อยหัด ทำการทดลอง โดยตั้งใจให้ เป็นการ ทำเพื่อ หาความรู้ ทำเพื่อ ความสนุก ความเพลิดเพลิน ถ้าทำการทดลอง อะไรไป ได้ผลเป็นอย่างไร E-mail มาบอกกันบ้าง
การทดลองที่จะทำ ต้องระวัง ไม่ให้เกิด ความเสียหายใดๆ ขึ้น คือ ต้องปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ

ข้างขึ้น-ข้างแรม
ปรากฎการณ์ข้างขึ้นข้างแรม เกิดจากการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก ขณะโคจรจะได้รับแสงจาก ดวงอาทิตย์สะท้อนมายังโลก ในรอบหนึ่งเดือนทุกๆวัน เวลาขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ จะเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก แต่ดวงจันทร์จะขึ้นและตก ช้าไปประมาณวันละ 50 นาที ในเวลาเดียวกันของ แต่ละวัน ดวงจันทร์จะเคลื่อน จากทิศตะวันตก เลื่อนสูงขึ้นๆ จนถึงกลางศีรษะ และจะเคลื่อนไปทางทิศตะวันออก

1.วันที่จันทร์ดับ หรือวันแรม 15 ค่ำ จะเป็นวันที่ดวงจันทร ์เคลื่อนไปทันตำแหน่ง ของดวงอาทิตย์ คืออยู่ฝั่งเดียว กับดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่สามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้
2.วันที่จันทร์เพ็ญ หรือวันขึ้น 15 ค่ำ จะเป็นวันที่ดวงจันทร ์เคลื่อนไปอยู่ฝั่งตรงข้าม กับดวงอาทิตย์ ทำให้สามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้มากที่สุด
3.วันแรม 8 ค่ำ จะเป็นวันที่ดวงจันทร ์เคลื่อนไปทางตะวันออก เข้าหาดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออก ดวงจันทร์จะสะท้อนแสง มายังโลกเฉพาะทางฝั่ง ที่รับแสงจากดวงอาทิตย์ หรือซีกตะวันออก
4.วันขึ้น 8 ค่ำ จะเป็นวันที่ดวงจันทร ์เคลื่อนไปทางตะวันออก ตรงข้ามกับ ดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตก ดวงจันทร์จะสะท้อนแสง มายังโลกเฉพาะทางฝั่ง ที่รับแสงจาก ดวงอาทิตย์ หรือซีกตะวันตก
สิ่งที่ควรสังเกต
ลองสังเกต คืนข้างขึ้น กับคืนข้างแรม ว่าดวงจันทร์ ซีกใดสว่าง ซีกใดมืด ลองเปิดปฏิทิน ที่บ้านคุณดู ส่วนใหญ่จะ มีเขียนไว้ ว่าวันที่เท่าไหร่ เป็นคืน ข้างขึ้น หรือข้างแรม กี่ค่ำ แล้วลองมองดู ท้องฟ้าแต่ละคืน เพื่อสังเกต ลักษณะของ ดวงจันทร์ จะเริ่มจากคืนนี้เลยก็ได้
ส่วนการเสียกรุงครั้งที่ 2 นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2310 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ อันเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพ จากการปกครองของพม่าในปีเดียวกันนั้น
ก่อนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยจนถึงกรุงธนบุรี สยามมีพระมหากษัตริย์ที่คอยดูแลอาณาประชาราษฎรมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาที่เป็นราชธานีมายาวนานถึง 417 ปี มีพระมหากษัตริย์ถึง 33 พระองค์ ในอดีตก่อนการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์นั้นเรามีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับและได้รับการขนามพระต่อท้ายด้วยคำว่ามหาราชมาแล้ว 4 พระองค์ด้วยกัน
1. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งอาณาจักรสุโขทัย ทรงประดิษฐ์อักษรไทย
2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ทรงกอบกู้เอกราชจากการเสียกรุงครั้งที่ 1
3. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ทรงทำการค้าขายกับต่างชาติจนกรุงศรีอยุธยาเป็นที่เลื่องลือและทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในด้านต่างๆ
4. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งอาณาจักรกรุงธนบุรี ทรงกอบกู้เอกราชจากการเสียกรุงครั้งที่ 2
อนุสรณ์สถานพระเจ้าตากสินมหาราช ณ เมืองจันทบุรี
ภาพจาก http://www.igetweb.com
พระราชประวัติในเรื่องชาติกำเนิดของพระเจ้าตากสินนั้นออกจะดูคลุมเครือกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นของไทย และมีลักษณะค่อนข้างจะกำกวมอยู่มาก ตามหลักฐานที่มีปรากฏก็ยังไม่แน่ชัดเท่าที่ควรบ้างว่าพระองค์ท่านประสูติเมื่อ แรม 15 ค่ำ เดือน 5 จุลศักราช 1096 ซึ่งน่าจะตรงกับวันที่ 17 เมษายน 2277 อันเป็นต้นรัชกาลของสมเด็จพระบาทพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงครองราชย์ได้เป็นปีที่ 3 แต่ความที่ปรากฏในจดหมายเหตุโหร ความว่าเสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 48 พรรษา กับ 15 วันเมื่อผนวกกับ ข้อมูลจาก Histoies de le Mission de Siam เขียนโดย Adrien Launay อันเป็นเอกสารของชาวต่างชาติที่ระบุว่า พระองค์ท่านทรงถูกสำเร็จโทษในวันที่ 7 เมษายน 2325 หากยึดเอาตามข้อมูลนี้ก็ต้องถือว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชสมภพในวันที่ 23 มีนาคม 2277(อ้างจาก การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์)
พระเจ้าตากสินมหาราช นามเดิมชื่อสิน มีพระนามในภาษาจีนว่า เจิ้งเจา มีพระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ชื่อ ไหฮอง ที่อพยพมาอยู่มาตั้งรกรากในเมืองไทย ส่วนพระราชมารดาเป็นชาวไทย พื้นเพเดิมเป็นชาวเพชรบุรี นามว่า นกเอี้ยง ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์ ส่วนพระราชบิดาของพระเจ้าตากสินทำหน้าที่เป็นขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าพระยาจักรีซึ่งเป็นขุนนางในสมัยนั้น เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระราชสมภพได้ไม่นาน พระยาจักรีจึงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือเด็กชายสินในขณะนั้นอายุได้ 9 ขวบ พระยาจักรีจึงพาไปฝากฝังไว้กับ พระอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส เพื่อทำการศึกษาเล่าเรียนทั้งตำราไทย ตำราขอม อีกทั้งศึกษาพระไตรปิฎกจนเชี่ยวชาญดีแล้ว พระยาจักรีจึงพาไปถวายเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ รับราชการสนองพระเดชพระคุณ จนอายุครบได้ 20 ปีครบบวช จึงออกมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดโกษาวาส คอยปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ทองดี ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในคราวที่บรรพชาเป็นสามเณร พระภิกษุสินดำรงสมณะเพศอยู่ได้ 3 พรรษาก็ลาสิกขาออกมา แล้วกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กอย่างเดิม จนกระทั่งเกิดการณ์ผลัดแผ่นดินขึ้น เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าอุทุมพรทรงเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อ ก่อนจะยกแผ่นดินให้พระเจ้าเอกทัศน์ผู้เป็นพระเชษฐาดูแลอาณาประชาราษฎร์ต่อไป ส่วนพระเจ้าอุทุมพรก็เสด็จออกผนวชแสวงหาความสงบในรสพระธรรม
ในรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์นี้เอง ที่พระเจ้าตากสินได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหลวงยกบัตร หัวเมืองฝ่ายเหนือ ไปรับราชการอยู่ที่เมืองตาก ซึ่งได้รับราชการด้วยดี จนกระทั่งเจ้าเมืองตากคนเก่าได้ถึงแก่กรรม หลวงยกบัตรจึงขึ้นเป็นเจ้าเมืองตากแทน และปกครองดูแลเมืองตากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาได้ตั้งต้นขึ้นเป็นใหญ่ ขึ้นครองเมืองในอาณาจักรพุกาม ได้ส่งกองทัพเข้ามาเพื่อหวังจะยึดครองอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่สำเร็จจนถึงรัชสมัยของพระเจ้ามังระ ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้าอลองพญาจึงกรีฑาทัพเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในปีพ.ศ. 2307 การเข้ามาครั้งนี้ของทัพพม่าเป็นการเข้ามาในลักษณะกองโจร ปล้นสะดม อยู่รอบชานเมืองนานถึง 3 ปีเต็ม ประชาชนอกสั่นขวัญผวาไม่เป็นอันทำมาหากิน
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ภาพจาก www.lannaworld.com
ข้างพระเจ้าตากซึ่งเป็นเจ้าเมืองตาก ได้ลงมาช่วยราชการสงครามต่อสู้กับทัพข้าศึกอย่างแข็งขัน และได้รับชัยชนะหลายคราว จนได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็น พระยาวชิรปราการ ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร ซึ่งถือว่าเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งในสมัยนั้น แต่ก็ไม่ได้ไปว่าราชการที่เมืองกำแพงเพชร เพราะกรุงศรีฯยังตกอยู่ในภัยสงคราม พระยาวชิรปราการได้เข้าต่อต้านข้าศึก อย่างเต็มความสามารถ แต่การสู้รบในครั้งนั้น เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะพม่ายกทัพกันมาเหลือคณานับ ในขณะที่ไทยเองได้แต่รอให้ถึงฤดูน้ำหลาก พระยาวชิรปราการยศของพระเจ้าตากในขณะนั้น เห็นว่าสู้ต่อไปรังแต่จะพ่ายแพ้และสูญเสีย จึงคิดจะถอยทัพโดยทิ้งกรุงศรีอยุธยาไว้โดยมีดำริจะมากู้คืนในภายหลัง เมื่อรวบรวมไพร่พลได้ราว 500 คน จึงตีฝ่าทัพพม่าออกไป ทางด้านค่ายวัดพิชัย ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช 1128 ปีจอ อัฐศก หรือ ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309
เมื่อพระเจ้าตากสินตีฝ่าข้าศึกออกมาได้แล้วก็มุ่งสู่ภาคตะวันออก ตามที่เรารับทราบกันมาในตำราเรียนทางด้านประวัติศาสตร์ การเดินทางไปยังดินแดนภาคตะวันออกในครั้งนั้น พระยาตากได้ทำการรวบรวมไพร่พล รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปตลอดเส้นทางการเดินทัพ ด้วยหมายใจว่าจะกลับมากู้กรุงศรีอยุธยาในเร็ววัน โดยไล่ตั้งแต่การยกกองทัพไปทางนาเริง-นครนายก เดินทัพต่อไปยังเมืองฉะเชิงเทรา เข้าเมืองระยอง ในระหว่างที่อยู่ที่เมืองระยองนี้เอง พระยาตากก็ได้รับทราบข่าวร้ายว่ากรุงศรีอยุธยาเสียทีให้แก่พม่าแล้ว พระองค์ท่านจึงมุ่งหน้ายึดเอาเมืองจันทบุรีหมายเอาเป็นที่มั่น และสามารถยึดเมืองจันทบุรีได้ใน วันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ ๐3.๐๐ น. ซึ่งไทยเสียเอกราชให้แก่พม่าเป็นเวลาสองเดือนล่วงผ่านมาแล้ว
ข้างฝ่ายสยามประเทศเมื่อเสียกรุงศรีฯแล้ว แผ่นดินก็ลุกเป็นไฟ มีการตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ไม่สมัครสมานสามัคคีกันอย่างเก่า เมื่อพระยาตากได้จันทบุรีแล้ว ก็มีดำริที่จะยึดเอากรุงศรีอยุธยาคืน จึงได้ให้ทหารในสังกัดต่อเรือรบ แล้วทำการรวบรวมไพร่พลและอาวุธเพิ่มเติม ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 3 เดือน จึงเคลื่อนทัพออกจากจันทบุรีมุงสู่กรุงศรีอยุธยา เข้าตีค่ายโพธิ์สามต้นและยึดกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ รวมระยะเวลาในการกู้กรุง 7 เดือน พระเจ้าตากสามารถตีค่ายโพธิ์สามต้นอันเป็นที่มั่นของพม่าแตก เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก หรือตรงกับวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 13.00 น.
และได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในวันพุธ เดือนอ้าย แรม 4 ค่ำ จุลศักราช 1130 ปีชวด สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2311 ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ และในวันนี้เอง ที่อิสรภาพได้กลับคืนสู่แผ่นดินไทยอีกครั้ง และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ท่านจึงถือเอาวันที่28 ธันวาคม ของทุกปี อันเป็นวันปราบดาภิเษกในการครองราชย์เป็นวันตากสินมหาราช
เมื่อขจัดภัยต่างชาติเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นดังเก่าก่อน ในคราวนั้นเจ้าผู้ครองแคว้นในดินแดนต่างๆ ต่างตั้งตนเป็นใหญ่ แตกกันเป็นก๊ก ไทยฆ่าฟันกันเอง หาความสงบสุขไม่ได้ โดยมีก๊กหรือชุมนุมใหญ่คือ
- ชุมนุมพระยาตาก อันเป็นชุมนุมของพระเจ้าตากเองตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองจันทบุรีก่อนจะสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
- ชุมนุมพระยาพิษณุโลก เจ้าเมืองพิษณุโลกตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองพิษณุโลก อันคลุมไปถึงหัวเมืองฝ่ายเหนือในบางส่วนด้วย
- ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช หัวเมืองสำคัญฝ่ายใต้เจ้าพระยานครตั้งชุมนุมขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช
- ชุมนุมเจ้าพิมาย กรมหมื่นเทพพิพิธพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมโกศ ตั้งชุมนุมขึ้นที่เมืองพิมาย
- ชุมนุมเจ้าพระฝาง พระสังฆราชาในเมืองฝางตั้งชุมนุมขึ้นโดยที่ยังคงดำรงตนในเพศบรรพชิต มีที่มั่นอยู่เมืองสวางคบุรีหรือเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน
พระเจ้ากรุงธนบุรีใช้เวลาปราบปรามชุมนุมต่างๆอยู่ 3 ปี จึงสามารถรวบรวมสยามให้เป็นปึกแผ่นได้ดั่งเก่าก่อนตลอด 15 ปีในรัชกาลของพระองค์ ยังคงมีศึกสงครามติดพันอยู่ตลอดแต่กระนั้น พระราชกรณียกิจทางด้านต่างๆพระองค์ก็ทรงหาได้ละเลย พระราชกรณียกิจที่สำคัญ คือ การฟื้นฟูอาณาจักรให้เข้มแข็งอย่างเก่าในเกือบทุกๆ ด้าน อย่างเช่น
อาณาเขตประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี
ภาพจาก http://th.wikipedia.org/
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ เช่น
1. ชำระกฎหมาย โดยได้ทรงรวบรวมกฎหมายต่างๆที่ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปเมื่อคราวถูกเผาเมือง เมื่อได้มาก็ให้ทำการชำระขึ้นใหม่และใช้บังคับในราชอาณาจักรของพระองค์
2. ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์นานาประเทศ โดยเฉพาะกับจีนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นในแผ่นดินกรุงธนบุรี
3. การรวบรวมพระไตรปิฎก ทรงให้ความสำคัญกับพระศาสนาโดยทรงรวบรวมพระไตรปิฎกจากที่ต่างๆ เช่น นครศรีธรรมราช อุตรดิตถ์ เพื่อเอามาร่างเป็นพระไตรปิฎกฉบับหลวง
4. การบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม โดยทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ในการปฎิสังขรณ์วัดวาอาราม และยกให้เป็นอารามหลวง เช่น วัดอินทารามวรวิหาร, วัดอรุณราชวราราม เป็นต้น
5. ทรงสมโภชพระแก้วมรกตให้เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง โดยจัดให้มีขบวนเรือพยุหยาตรา จำนวน 246 ลำ โดยเมื่อแรกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม ต่อมาเมื่อมีการย้ายเมืองหลวงมายังฝั่งพระนครในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ย้ายพระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างเช่นในปัจจุบัน
6. ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ กษัตริย์ในสมัยก่อนนอกจากจะต้องทรงเชี่ยวชาญทางด้านการศึก แล้วศิลปะคือวิทยาการอีกแขนงหนึ่งที่ต้องรอบรู้ พระเจ้าตากก็เช่นกันโดยได้ทรงพระราชนิพนธ์ รามเกียรติ์ ไว้ 4 ตอน คือ ตอนพระมงกุฎ,ตอนหนุมานเกี้ยววารินจนท้าวมาลีวราชมา,ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาและตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมณโฑ บั้นปลายรัชกาล ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระองค์ท่านก็ยังคงคลุมเครือ มีหลายกระแสความเชื่อบ้างว่าพระองค์ท่านสติวิปลาส และถูกสำเร็จโทษในเวลาต่อมา บ้างว่าพระองค์ท่านทรงสละราชสมบัติอย่างเงียบๆ และทรงออกผนวช จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอันเป็นหัวเมืองสำคัญทางภาคใต้ในขณะนั้น แต่ถึงประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับพระองค์ท่านจะคลุมเครืออย่างไร สิ่งหนึ่งที่เราชาวไทยรับรู้โดยทั่วกันว่า จากอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา จนถึง กรุงรัตนโกสินท์ ราชธานีอันเป็นปึกแผ่นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะพระองค์ท่านและเหล่าทหารหาญที่ร่วมใจกันพลีชีพ รักษาผืนแผ่นดินถิ่นเกิด ทรงทำสงครามรุกไล่อริราชศัตรูที่เข้ามารุกรานตลอดจนรัชสมัยของพระองค์ และนี้คือมหาราชอีกพระองค์หนึ่งของปวงชนชาวไทย....จอมกษัตริย์ของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผู้กู้กรุงให้เราได้มีเอกราช

ภาพจาก Global Warming Exhibition of National Academy of Science (US)
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม รถยนตร์ หรือการกระทำใดๆที่เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่นถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้โลกของเรามีอุนหภูมิอบอุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แต่ปัจจุบัน การเผาผลาญเชื้อเพลงฟอสซิลต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง และการตัดไม้ทำลายป่า
ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อันส่งผลกระทบต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยธรรมชาติต่างๆเกิดบ่อยขึ้น และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

- จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
- เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
- น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
- สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่

หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
- อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้
- ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
- คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
- ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
- มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
- สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
Credit

การแก้ปัญหาโลกร้อน ไม่ใช่แค่คิดจะทำ แต่ต้องลงมือทำจริง
การบอกคุณภาพของน้ำ โดยใช้ปริมาณออกซิเจนเป็นเกณฑ์
1. DO (Dissolved oxygen) คือ ปริมาณ O2 ที่

ข้อควรปฏิบัติ เมื่อสารเคมีหก
เมื่อสารเคมีหกอาจเกิดอันตรายได้หากไม่ระมัดระวังให้ดี
ทั้งนี้เพราะสารเคมีบางชนิด เป็นพิษต่อร่างกายเมื่อถูกกับผิวหนังหรือสูดดม บางชนิดติดไฟได้ง่าย
ดังนั้นเมื่อสารเคมีหก
จะต้องรีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยทันที ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงข้อควรปฏิบัติเมื่อสารเคมีแต่ละชนิดหก 1. สารที่เป็นของแข็ง
เมื่อสารเคมีที่เป็นของแข็งหก ควรใช้แปรงกวดรวมกันใส่ในช้อนตัก หรือกระดาษแข็งก่อน แล้วจึงนำไปใส่ในภาชนะ
2. สารละลายที่เป็นกรด
เมื่อกรดหกจะต้องรีบทำให้เจือจางด้วยน้ำก่อนแล้วโรย โซดาแอส หรือโซเดียมไบคาร์บอเนตหรือเทสารละลายด่าง เพื่อทำให้กรดเป็นกลางต่อจากนั้นจึงล้างด้วยน้ำให้สะอาด
ข้อควรระวัง
เมื่อเทน้ำลงบนกรดเข้มข้นที่หก เช่น กรดกำมะถันเข้มข้น จะมีความร้อนเกิด ขึ้นมาก และกรดอาจกระเด็นออกมา จึงควรค่อย ๆ เทน้ำลงไปมาก ๆ เพื่อให้กรดเจือจางและความร้อนที่เกิดขึ้นรวมทั้งการกระเด็นจะน้อยลง3. สารละลายที่เป็นด่าง
เมื่อสารเคมีที่เป็นด่างหกจะต้องเทน้ำลงไปเพื่อลดความเข้มข้นของด่างแล้วเช็ดให้แห้ง โดยใช้ไม้ที่มีปุยผูกที่ปลายสำหรับซับน้ำบนพื้น (Mop)พยายามอย่าให้กระเด็นขณะเช็ด เนื่องจากสารละลายด่างจะทำให้พื้นลื่นเมื่อล้างด้วยน้ำหลาย ๆ ครั้งแล้วยังไม่หายควรใช้ทรายโรยบริเวณที่ด่างหกแล้วเก็บกวาดทรายออกไป จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ 5. สารที่เป็นน้ำมัน
สารพวกนี้เช็ดออกได้โดยใช้น้ำมาก ๆ เมื่อเช็ดออกแล้วพื้นบริเวณที่สารหกจะลื่น จึงต้องล้างด้วยผงซักฟอกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สารที่ติดอยู่ออกไปให้หมด6. สารปรอท
เนื่องจากสารปรอท ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดล้วนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้น เพราะทำอันตรายต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการทางประสาท เช่น กล้ามเนื้อเต้น มึนงง ความจำเสื่อม ถ้าได้รับเข้าไปมาก ๆ อาจทำให้แขนขาพิการหรือถึงตายได้ ดังนั้นการทดลองใดที่เกี่ยวข้องกับสารปรอทต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก
ในกรณีที่สารปรอทหกวิธีการที่ถูกต้องควรปฏิบัติดังนี้
6.1 กวาดสารปรอทมากองรวมกัน
6.2 เก็บสารปรอทโดยใช้เครื่องดูด
6.3 ถ้าพื้นที่สารปรอทหกมีรอยแตกหรือรอยร้าว จะมีสารปรอทเข้าไปอยู่ข้างในจึงไม่ สามารถเก็บปรอทโดยใช้เครื่องดูดดังกล่าวได้ ควรปิดรอยแตกหรือรอยร้าวนั้นด้วยขี้ผึ้งทาพื้น หนา ๆ เพื่อกันระเหยของปรอทหรืออาจใช้ผงกำมะถันพรมลงไป ปรอทจะเปลี่ยนเป็นสารประกอบซัลไฟด์ แล้วเก็บกวดอีกครั้งหนึ่งขอขอบคุณ ข้อมูลที่มีประโยชน์จาก เว็บไซต์ Digital Library for school net
เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนโลกอินเตอร์เน็ต
เมลามีน คืออะไร
เป็นเรื่องที่กำลังวิตกกันมากเกี่ยวกับสารเมลามีนปนเปื้อนในนม ขนม และอาหารนำเข้าจากประเทศจีน แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารเมลามีน มันคืออะไร แล้วมีผลหรือพิษอันตรายอย่างไร จึงขอนำบทความของ รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มานำเสนอดังนี้
เมลามีน คือ พลาสติกชนิดหนึ่งมีสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรารู้จักคุ้นเคยกันคือ ฟอร์มาลีน ส่วนใหญ่เมลานีนจะถูกนำมาผลิตพลาสติก จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตลาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นอกจากนี้ยังนำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเมลามีน
เป็นเมตาโบไลท์ของไซโรมาซีน(Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่งเมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปในร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจน 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % จัดเป็นพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ในสัตว์กระเพาะรวม แต่ไม่นิยมใช้เพราะการ Hydrolysis ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนยูเรีย ลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย เมลามีนคุณภาพดีจะนำไปทำเม็ดพลาสติกเรียกเม็ดเลซินเมลามีน ส่วนเศษที่เหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพเลวจะนำกลับไปทำของใช้ ซึ่งเมลานีนคุณภาพเลวนี้ขบวนการของมันไม่สมบูรณ์จึงมีราคาถูก และเกิดอนุพันธ์ของเมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline,ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36 %
งานวิจัยกับเมลามีนในช่วงที่ผ่านมา
จากการวิจัยในปี ค.ศ.1971 มีการนำเมลามีนมาใส่ในอาหารโค เพราะเป็นแหล่งไนโตรเจน ต่อมาในปี 1971-1976 มีการวิจัยพบว่าเมลามีนมีไนโตรเจนสูงกว่ายูเรีย แต่เมื่อสัตว์กระเพาะรวม (โคเนื้อ โคนม แพะ แกะ) กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยได้สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษตกค้างในตัวสัตว์จึงไม่นิยมใช้ จากนั้นมีการทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยเมลามีนที่มาจากโรงงานผลิตที่ค่อนข้างดีก็จะมีเฉพาะเมลามีนตัวเดียวออกมาไม่มีอัลนาล็อก และมีการศึกษาเมลามีนในสัตว์และคน ก็พบว่าไม่เป็นพิษจึงยอมให้มาผลิตเป็พลาสติกภาชนะใส่อาหารและใช้ห่ออาหารอีกด้วย
จนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา หน่วยงาน U.S.Food and Drug ออกมาตรการให้มีการสืบสวนกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากเมืองจีน เพราะพบว่าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ เมื่อสุนัขและแมวกินเข้าไปทำให้สัตว์เลี้ยงลัมป่วยและตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้ากลูเตนที่ผลิตได้จากแป้งสาลี(wheat gluten) ของจีน รวมทั้งเรียกคืนสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากจีนรวมกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ นอกจากนี้ยังมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคอนกลูเต้น ( corn gluten ) ที่ผลิตในอเมริกามีโปรตีนไม่ถึง 64 % ทั้ง ๆ ที่อเมริกาเป็นแหล่ง corn gluten แหล่งใหญ่ของโลกในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเมืองจีนมีโปรตีนสูงถึง 68 % แต่กลับราคาถูกกว่า
นอกจากนำเข้า corn gluten จากจีนแล้ว อเมริกายังนำเข้าโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ ของจีน เช่น wheat gluten, rice bran และ rice protein concentrate หลังจากนั้นพบว่าเมื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์แล้วเกิดปัญหา เมื่อตรวจสอบก็พบว่าโปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากจีนปนเปื้อนด้วยเมลามีน และอนุพันธ์ของเมลามีน U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้าโปรตีนจากพืชของจีนรวมทั้งเรียกคืนอาหารสัตว์จากจีนกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ
จากจุดนี้ทำให้หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหาร ประจำสหภาพยุโรป (European food Safety Authority : EFSA) ได้มีการกำหนดค่าในการบริโภคเมลามีนต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ( toterable daily intake : TDI ) ในระดับไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน โดยค่ะ TDI ของเมลามีนทั้งคนและสัตว์ให้มีค่าเท่ากันเพราะยังไม่มีการวิจัยในสัตว์ออกมาส่วนค่าเมลามีนที่จะปนมากับอาหารคนและสัตว์เกินกว่า 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ 30 ppm. ได้
EU และประเทศสมาชิก 27 ประเทศมีการตรวจเข้มข้น เพื่อหาการปนเปื้อนของเมลามีนในสินค้าประเภท wheat gluten,corn gluten, corn meal, soy protein, rice bran, rice protein concentrate ที่นำเข้าจากจีนและประเทศที่ 3 ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนี้ให้รายงานผลการตรวจเข้าสู่ระบบเตือนภัยกลาง คือ Repid Alert System for Food and Feed
เมลามีนในประเทศจีน
จีนมีโรงงานผลิตเมลามีน 3 แหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งร่ำรวยมาก ผลิตเมลามีนเดือนละหลายหมื่นตันในเมืองจีนเมลามีนวางขายหลากหลายยี่ห้อ และมีการับรองมาตรฐานอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประกาศขายเมลามีนผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในเมืองจีนมีขายและใช้กันมากในการผลิตอาหารสุนัข อาหารสุกร รวมถึงแป้งที่คนกิน นอกจากจะนำมาใช้ในประเทศแล้ว จีนยังมีการส่งเมลามีนเข้าไปขายในประเทศที่ 3 ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลลิปปินส์ โดยไม่ได้นำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมจานเมลามีน แต่เอามาปนเปื้อนในอาหารคนอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ขายจากจีนจะไม่บอกว่าเป็นเมลามีนโดยบอกว่าเป็น ไบโอโปรตีน โดยเป็นเมลานีนเศษเหลือจากโรงงานพลาสติก ราคาถูก นำเข้าในราคากิโลกรัมละ 1.20 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เมืองจีนราคาประมาณกิโลกรัมละ 1-2 หยวนเท่านั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสารที่เข้ามาเป็นเมลามีน เพราะไม่มีน้ำยาสำหรับตรวจสอบได้ มีแต่ตรวจเช็คการปนเปื้อนยูเรีย Non-Protein Nitrogen คือ ปุ๋ย เป็นพวกแอมโมเนียมไนเตรท แอมโมเนียมฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต นอกจากนั้นยังมีการตรวจการปนเปื้อนขนไก่ไฮโดรไลซ์เศษหนังเท่านั้น
ความเป็นพิษของเมลามีน
เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดมทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ เมื่อกินเข้าไประบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ในสุนัขจะขับถ่ายออกมามาก ปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะลดลง มีเมลามีนในปัสสาวะสูง และเห็นเกร็ดเล็ก ๆ สีขาวเกิดขึ้นที่ไตและปัสสาวะ โดยน้ำปัสสาวะจะมีสีขาวขุ่นและมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย กรณีในคนจะมีปัญหาท่อปัสสาวะล้มเหลว ในปลาไร้เกล็ด(ปลาดุก) เกร็ดจะเกิดผิวสีดำ ตับและไตขนาดใหญ่(ตับแตก) และตายในที่สุด
ผลของเมลามีนต่อสุกร – ไก่
อาการที่พบในสุกร ผอมซูบไม่กินอาหาร ตายแบบเฉียบพลันเพราะไตวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าว่าเป็น PRRS หรือเซอร์โคไวรัส ขี้จะแข็งเป็นเม็ดกระสุน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นรุนแรง พื้นคอกสีขาวเนื่องจากการขับเมลามีนออกมากับปัสสาวะ ผิวหนังที่มีการสัมผัสเมลามีนจะเป็นมะเร็งได้ (ในสุกรจะเห็นผิวหนังเป็นจุดแดง) ถ้าสูดดมเอาเมลามีนเข้าไปจะทำให้โพรงจมูกอักเสบ และมักพบสุกรส่วนหนึ่งตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การแสดงอาหารป่วยจะพบ 30–100 % แต่การตายจะพบ 20-80 % วิการเมื่อผ่าซากจะพบไตแข็ง มีสีเหลืองผิวเป็นเม็ดน้อยหน่า และจะพบโรคแทรกซ้อนมากมาย
อาการที่พบในไก่เนื้อ ไตจะใหญ่กว่าปกติ 3-4 เท่า บริเวณอุ้งเท้าไก่จะเน่าเพราะมูลที่ขับถ่ายออกมาเหนียวมากจึงเกาะติดทำให้เกิดการระคายเคืองกับอุ้งเท้าไก่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนขาย จึงเกิดความเสียหายขึ้นจะมาก-น้อยแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
เส้นทางการสืบค้นหาเมลามีนในเมืองไทย
จากการตรวจสอบวัตถุที่นำเข้าจากจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่เป็นข้อสงสัยเกิดขึ้นจากการค้นคว้าเจาะลึกลงไป พอดีกับที่ได้ไปงาน VIV ที่จีน พร้อมไปเป็นวิทยากรที่เมืองจีนอีกหลายครั้ง ก็ได้เห็นสินค้าหลากหลายวางขายจึงเก็บมาวิเคราะห์ก็เลยแน่ใจว่าเป็น เมลามีน โดยเมลามีนที่ตรวจพบในเมืองไทยที่ปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหารมีหลากหลายชนิด ประกอบด้วย
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (ผงสีขาว)
- โพลีเมธิลคาร์บาไมล์ (ผงสีขาว)
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) เรซิน
- เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) เรซิน
- เมลามีนยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (MUF) เรซิน
ซึ่งมีตั้งแต่สีเหลืองจนขาว ขาวเทา เทาและดำ เมลามีน(ผงสีขาว) และเมลามีนไซอนูเลท(เป็นรูปเกลือที่เกิดจากเมลามีนและกรดไซอนูริค) โดยเมื่อตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนพบสูงตั้งแต่ 160-450 % จึงเริ่มมีการทำเทสคิดและสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยน้ำยาสารละลาย A (ความเป็นด่างสูง) และน้ำยาสารละลาย B (ความเป็นกรมสูง)
ขั้นตอนในการตรวจสอลเมลามีน
1. ตรวจสอบโดยตรงจากกล้องจุลทรรศน์ (ต้องมีความชำนาญและฝึกอบรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารด้วยกล้องจุลทรรศน์มาก่อน) จะสามารถเห็นสารนี้ได้ โดยจะเห็นเป็นคริสตัลแวววาวสีแตกต่างกันไปถ้าปลอมปนในโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากข้าวโพด ข้าวลาสี ถั่วเหลือง (กากถั่วเหลืองและถั่วอบ) มักจะเป็นสีเหลืองหรือขาว
2. หยดสารละลาย A ลงไปจะเกิดตะกอนขุ่นขาวครั้งแรก (มองจากกล้องจุลทรรศน์) และจะเปลี่ยนเป็นตะกอนขุ่นสีเทาดำเกิดขึ้น เมื่อทิ้งไว้ 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวเคลือบอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีสีดำเทาแสดงว่าเป็นพวก UF ถ้าเป็น MF จะได้สารละลายสีเหลืองและ MUF จะเป็นสีเหลืองอ่อน
3. ตรวจสอบจากกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่ให้หยดสารละลาย B ลงไปจะเกิดสีชมพู-ม่วงคราม-ม่วงน้ำเงินเกิดขึ้นเป็นพวก UF สำหรับ MF จะได้สีชมพู และ MUF ต้องทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงจะเกิดสีชมพูอ่อน
4. น้ำตัวอย่างอาหารที่จะทดสอบโดยละลายในน้ำกลั่น อัตราส่วนอาหารต่อน้ำ 1 : 10 แล้วคนให้เข้ากันขณะคนให้สังเกตถ้ามีสารปนเปื้อนอาหารจะจับตัวเป็นขุยก้อนเล็ก ๆ สังเกตดูน้ำที่ใช้ละลายจะไม่ใส มีสีขาวเหมือนน้ำข้าวต้ม แสดงได้ทันทีว่ามีเมลามีนผงสีเทาปนเปื้อน ทิ้งไว้ในตะกอนแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง Whatman No.4 หรือดูดเอาน้ำไปทดสอบกับสารละลาย A และ B
วัตถุดิบอาหารสัตว์หลักที่ต้องระวัง
อันดับแรกคือ ปลาป่น โปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น corn gluten , soy bean meal, soy protein , rice bran, rice protein concentrate โปรตีนจากวุ้นเส้น DDGS จากเมืองจีนและโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน รำสกัดในบ้านเราก็ไม่น่าไว้วางใจ ฟลูแฟตซอยก็เช่นเดียวกัน
ความเสียหายที่เกิดกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย
ความเสียหายในฟาร์มหมูที่เกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมารำแพง ปลาป่นแพง หาของคุณภาพได้ยาก และไม่รู้ว่ามีการปนเปื้อนเมลามีนในวัถตุดิบเหล่านี้จึงมีการทดลองใช้ DDGS และโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน ซึ่งโพลีนคลอไรด์ 60% มีขายทั่วไปแต่จากเมืองจีนจะมีเพียง 20% และมีเมลามีนปนเปื้อน เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะในสูตรของพ่อแม่พันธุ์ หมูเลียรางที่ใช้ปลาป่นค่อนข้างมาก
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่จีนหลอกขายเมลามีนให้ แต่เราเดือนร้อนที่สุดเพราะเราเป็นผู้ส่งออกทั้งไก่เนื้อ กุ้ง และหมูที่กำลังจะส่งออกได้ ที่ผ่านมาหมูก็จะไปไม่ไหวอยู่แล้วเพราะราคาตกต่ำแล้วยังมาเจอความเสียหายเกิดขึ้นจากวัตถุดิบปนเปื้อน ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคิดให้มากกว่านี้ทำอะไรต้องคิดถึงประเทศชาติ ส่วนอาจารย์ก็จะเร่งเตรียมห้องแล็ปและรับตรวจสอบตัวอย่างที่สงสัย พร้อมจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอบรมไปแล้วจำนวนหนึ่งในส่วนของผู้ส่งออก ขณะเดียวกันก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เมลามีนทั้ง 4 ตัวด้วยเครื่องสเป็กโตรดฟโตมิเตอร์ และจำทำเทสคิดออกมาอีก 2 ตัวเพื่อมาตรวจสอบ A,B ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และถ้าเกษตรรายใดสงสัยว่าฟาร์มจะมีปัญหาจากเมลามีนต้องการให้อาจารย์ช่วยเหลือก็ติดต่อได้โดยตรง ยินดีให้ความช่วยเหลือ รศ.ดร.เยาวมาลย์ กล่าว
เมลามีน คืออะไร
เป็นเรื่องที่กำลังวิตกกันมากเกี่ยวกับสารเมลามีนปนเปื้อนในนม ขนม และอาหารนำเข้าจากประเทศจีน แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารเมลามีน มันคืออะไร แล้วมีผลหรือพิษอันตรายอย่างไร จึงขอนำบทความของ รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มานำเสนอดังนี้
เมลามีน คือ พลาสติกชนิดหนึ่งมีสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรารู้จักคุ้นเคยกันคือ ฟอร์มาลีน ส่วนใหญ่เมลานีนจะถูกนำมาผลิตพลาสติก จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตลาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นอกจากนี้ยังนำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเมลามีน
เป็นเมตาโบไลท์ของไซโรมาซีน(Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่งเมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปในร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจน 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % จัดเป็นพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ในสัตว์กระเพาะรวม แต่ไม่นิยมใช้เพราะการ Hydrolysis ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนยูเรีย ลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย เมลามีนคุณภาพดีจะนำไปทำเม็ดพลาสติกเรียกเม็ดเลซินเมลามีน ส่วนเศษที่เหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพเลวจะนำกลับไปทำของใช้ ซึ่งเมลานีนคุณภาพเลวนี้ขบวนการของมันไม่สมบูรณ์จึงมีราคาถูก และเกิดอนุพันธ์ของเมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline,ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36 %
งานวิจัยกับเมลามีนในช่วงที่ผ่านมา
จากการวิจัยในปี ค.ศ.1971 มีการนำเมลามีนมาใส่ในอาหารโค เพราะเป็นแหล่งไนโตรเจน ต่อมาในปี 1971-1976 มีการวิจัยพบว่าเมลามีนมีไนโตรเจนสูงกว่ายูเรีย แต่เมื่อสัตว์กระเพาะรวม (โคเนื้อ โคนม แพะ แกะ) กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยได้สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษตกค้างในตัวสัตว์จึงไม่นิยมใช้ จากนั้นมีการทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยเมลามีนที่มาจากโรงงานผลิตที่ค่อนข้างดีก็จะมีเฉพาะเมลามีนตัวเดียวออกมาไม่มีอัลนาล็อก และมีการศึกษาเมลามีนในสัตว์และคน ก็พบว่าไม่เป็นพิษจึงยอมให้มาผลิตเป็พลาสติกภาชนะใส่อาหารและใช้ห่ออาหารอีกด้วย
จนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา หน่วยงาน U.S.Food and Drug ออกมาตรการให้มีการสืบสวนกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากเมืองจีน เพราะพบว่าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ เมื่อสุนัขและแมวกินเข้าไปทำให้สัตว์เลี้ยงลัมป่วยและตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้ากลูเตนที่ผลิตได้จากแป้งสาลี(wheat gluten) ของจีน รวมทั้งเรียกคืนสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากจีนรวมกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ นอกจากนี้ยังมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคอนกลูเต้น ( corn gluten ) ที่ผลิตในอเมริกามีโปรตีนไม่ถึง 64 % ทั้ง ๆ ที่อเมริกาเป็นแหล่ง corn gluten แหล่งใหญ่ของโลกในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเมืองจีนมีโปรตีนสูงถึง 68 % แต่กลับราคาถูกกว่า
นอกจากนำเข้า corn gluten จากจีนแล้ว อเมริกายังนำเข้าโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ ของจีน เช่น wheat gluten, rice bran และ rice protein concentrate หลังจากนั้นพบว่าเมื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์แล้วเกิดปัญหา เมื่อตรวจสอบก็พบว่าโปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากจีนปนเปื้อนด้วยเมลามีน และอนุพันธ์ของเมลามีน U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้าโปรตีนจากพืชของจีนรวมทั้งเรียกคืนอาหารสัตว์จากจีนกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ
จากจุดนี้ทำให้หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหาร ประจำสหภาพยุโรป (European food Safety Authority : EFSA) ได้มีการกำหนดค่าในการบริโภคเมลามีนต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ( toterable daily intake : TDI ) ในระดับไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน โดยค่ะ TDI ของเมลามีนทั้งคนและสัตว์ให้มีค่าเท่ากันเพราะยังไม่มีการวิจัยในสัตว์ออกมาส่วนค่าเมลามีนที่จะปนมากับอาหารคนและสัตว์เกินกว่า 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ 30 ppm. ได้
EU และประเทศสมาชิก 27 ประเทศมีการตรวจเข้มข้น เพื่อหาการปนเปื้อนของเมลามีนในสินค้าประเภท wheat gluten,corn gluten, corn meal, soy protein, rice bran, rice protein concentrate ที่นำเข้าจากจีนและประเทศที่ 3 ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนี้ให้รายงานผลการตรวจเข้าสู่ระบบเตือนภัยกลาง คือ Repid Alert System for Food and Feed
เมลามีนในประเทศจีน
จีนมีโรงงานผลิตเมลามีน 3 แหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งร่ำรวยมาก ผลิตเมลามีนเดือนละหลายหมื่นตันในเมืองจีนเมลามีนวางขายหลากหลายยี่ห้อ และมีการับรองมาตรฐานอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประกาศขายเมลามีนผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในเมืองจีนมีขายและใช้กันมากในการผลิตอาหารสุนัข อาหารสุกร รวมถึงแป้งที่คนกิน นอกจากจะนำมาใช้ในประเทศแล้ว จีนยังมีการส่งเมลามีนเข้าไปขายในประเทศที่ 3 ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลลิปปินส์ โดยไม่ได้นำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมจานเมลามีน แต่เอามาปนเปื้อนในอาหารคนอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ขายจากจีนจะไม่บอกว่าเป็นเมลามีนโดยบอกว่าเป็น ไบโอโปรตีน โดยเป็นเมลานีนเศษเหลือจากโรงงานพลาสติก ราคาถูก นำเข้าในราคากิโลกรัมละ 1.20 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เมืองจีนราคาประมาณกิโลกรัมละ 1-2 หยวนเท่านั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสารที่เข้ามาเป็นเมลามีน เพราะไม่มีน้ำยาสำหรับตรวจสอบได้ มีแต่ตรวจเช็คการปนเปื้อนยูเรีย Non-Protein Nitrogen คือ ปุ๋ย เป็นพวกแอมโมเนียมไนเตรท แอมโมเนียมฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต นอกจากนั้นยังมีการตรวจการปนเปื้อนขนไก่ไฮโดรไลซ์เศษหนังเท่านั้น
ความเป็นพิษของเมลามีน
เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดมทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ เมื่อกินเข้าไประบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ในสุนัขจะขับถ่ายออกมามาก ปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะลดลง มีเมลามีนในปัสสาวะสูง และเห็นเกร็ดเล็ก ๆ สีขาวเกิดขึ้นที่ไตและปัสสาวะ โดยน้ำปัสสาวะจะมีสีขาวขุ่นและมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย กรณีในคนจะมีปัญหาท่อปัสสาวะล้มเหลว ในปลาไร้เกล็ด(ปลาดุก) เกร็ดจะเกิดผิวสีดำ ตับและไตขนาดใหญ่(ตับแตก) และตายในที่สุด
ผลของเมลามีนต่อสุกร – ไก่
อาการที่พบในสุกร ผอมซูบไม่กินอาหาร ตายแบบเฉียบพลันเพราะไตวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าว่าเป็น PRRS หรือเซอร์โคไวรัส ขี้จะแข็งเป็นเม็ดกระสุน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นรุนแรง พื้นคอกสีขาวเนื่องจากการขับเมลามีนออกมากับปัสสาวะ ผิวหนังที่มีการสัมผัสเมลามีนจะเป็นมะเร็งได้ (ในสุกรจะเห็นผิวหนังเป็นจุดแดง) ถ้าสูดดมเอาเมลามีนเข้าไปจะทำให้โพรงจมูกอักเสบ และมักพบสุกรส่วนหนึ่งตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การแสดงอาหารป่วยจะพบ 30–100 % แต่การตายจะพบ 20-80 % วิการเมื่อผ่าซากจะพบไตแข็ง มีสีเหลืองผิวเป็นเม็ดน้อยหน่า และจะพบโรคแทรกซ้อนมากมาย
อาการที่พบในไก่เนื้อ ไตจะใหญ่กว่าปกติ 3-4 เท่า บริเวณอุ้งเท้าไก่จะเน่าเพราะมูลที่ขับถ่ายออกมาเหนียวมากจึงเกาะติดทำให้เกิดการระคายเคืองกับอุ้งเท้าไก่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนขาย จึงเกิดความเสียหายขึ้นจะมาก-น้อยแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
เส้นทางการสืบค้นหาเมลามีนในเมืองไทย
จากการตรวจสอบวัตถุที่นำเข้าจากจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่เป็นข้อสงสัยเกิดขึ้นจากการค้นคว้าเจาะลึกลงไป พอดีกับที่ได้ไปงาน VIV ที่จีน พร้อมไปเป็นวิทยากรที่เมืองจีนอีกหลายครั้ง ก็ได้เห็นสินค้าหลากหลายวางขายจึงเก็บมาวิเคราะห์ก็เลยแน่ใจว่าเป็น เมลามีน โดยเมลามีนที่ตรวจพบในเมืองไทยที่ปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหารมีหลากหลายชนิด ประกอบด้วย
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (ผงสีขาว)
- โพลีเมธิลคาร์บาไมล์ (ผงสีขาว)
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) เรซิน
- เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) เรซิน
- เมลามีนยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (MUF) เรซิน
ซึ่งมีตั้งแต่สีเหลืองจนขาว ขาวเทา เทาและดำ เมลามีน(ผงสีขาว) และเมลามีนไซอนูเลท(เป็นรูปเกลือที่เกิดจากเมลามีนและกรดไซอนูริค) โดยเมื่อตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนพบสูงตั้งแต่ 160-450 % จึงเริ่มมีการทำเทสคิดและสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยน้ำยาสารละลาย A (ความเป็นด่างสูง) และน้ำยาสารละลาย B (ความเป็นกรมสูง)
ขั้นตอนในการตรวจสอลเมลามีน
1. ตรวจสอบโดยตรงจากกล้องจุลทรรศน์ (ต้องมีความชำนาญและฝึกอบรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารด้วยกล้องจุลทรรศน์มาก่อน) จะสามารถเห็นสารนี้ได้ โดยจะเห็นเป็นคริสตัลแวววาวสีแตกต่างกันไปถ้าปลอมปนในโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากข้าวโพด ข้าวลาสี ถั่วเหลือง (กากถั่วเหลืองและถั่วอบ) มักจะเป็นสีเหลืองหรือขาว
2. หยดสารละลาย A ลงไปจะเกิดตะกอนขุ่นขาวครั้งแรก (มองจากกล้องจุลทรรศน์) และจะเปลี่ยนเป็นตะกอนขุ่นสีเทาดำเกิดขึ้น เมื่อทิ้งไว้ 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวเคลือบอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีสีดำเทาแสดงว่าเป็นพวก UF ถ้าเป็น MF จะได้สารละลายสีเหลืองและ MUF จะเป็นสีเหลืองอ่อน
3. ตรวจสอบจากกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่ให้หยดสารละลาย B ลงไปจะเกิดสีชมพู-ม่วงคราม-ม่วงน้ำเงินเกิดขึ้นเป็นพวก UF สำหรับ MF จะได้สีชมพู และ MUF ต้องทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงจะเกิดสีชมพูอ่อน
4. น้ำตัวอย่างอาหารที่จะทดสอบโดยละลายในน้ำกลั่น อัตราส่วนอาหารต่อน้ำ 1 : 10 แล้วคนให้เข้ากันขณะคนให้สังเกตถ้ามีสารปนเปื้อนอาหารจะจับตัวเป็นขุยก้อนเล็ก ๆ สังเกตดูน้ำที่ใช้ละลายจะไม่ใส มีสีขาวเหมือนน้ำข้าวต้ม แสดงได้ทันทีว่ามีเมลามีนผงสีเทาปนเปื้อน ทิ้งไว้ในตะกอนแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง Whatman No.4 หรือดูดเอาน้ำไปทดสอบกับสารละลาย A และ B
วัตถุดิบอาหารสัตว์หลักที่ต้องระวัง
อันดับแรกคือ ปลาป่น โปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น corn gluten , soy bean meal, soy protein , rice bran, rice protein concentrate โปรตีนจากวุ้นเส้น DDGS จากเมืองจีนและโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน รำสกัดในบ้านเราก็ไม่น่าไว้วางใจ ฟลูแฟตซอยก็เช่นเดียวกัน
ความเสียหายที่เกิดกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย
ความเสียหายในฟาร์มหมูที่เกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมารำแพง ปลาป่นแพง หาของคุณภาพได้ยาก และไม่รู้ว่ามีการปนเปื้อนเมลามีนในวัถตุดิบเหล่านี้จึงมีการทดลองใช้ DDGS และโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน ซึ่งโพลีนคลอไรด์ 60% มีขายทั่วไปแต่จากเมืองจีนจะมีเพียง 20% และมีเมลามีนปนเปื้อน เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะในสูตรของพ่อแม่พันธุ์ หมูเลียรางที่ใช้ปลาป่นค่อนข้างมาก
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่จีนหลอกขายเมลามีนให้ แต่เราเดือนร้อนที่สุดเพราะเราเป็นผู้ส่งออกทั้งไก่เนื้อ กุ้ง และหมูที่กำลังจะส่งออกได้ ที่ผ่านมาหมูก็จะไปไม่ไหวอยู่แล้วเพราะราคาตกต่ำแล้วยังมาเจอความเสียหายเกิดขึ้นจากวัตถุดิบปนเปื้อน ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคิดให้มากกว่านี้ทำอะไรต้องคิดถึงประเทศชาติ ส่วนอาจารย์ก็จะเร่งเตรียมห้องแล็ปและรับตรวจสอบตัวอย่างที่สงสัย พร้อมจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอบรมไปแล้วจำนวนหนึ่งในส่วนของผู้ส่งออก ขณะเดียวกันก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เมลามีนทั้ง 4 ตัวด้วยเครื่องสเป็กโตรดฟโตมิเตอร์ และจำทำเทสคิดออกมาอีก 2 ตัวเพื่อมาตรวจสอบ A,B ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และถ้าเกษตรรายใดสงสัยว่าฟาร์มจะมีปัญหาจากเมลามีนต้องการให้อาจารย์ช่วยเหลือก็ติดต่อได้โดยตรง ยินดีให้ความช่วยเหลือ รศ.ดร.เยาวมาลย์ กล่าว
ที่มา