"อภิสิทธิ์"เปิดใจภารกิจแรก"ยุติแบ่งสี" ประกาศปราบศัตรูงาน ยืนยันจะฟังเสียงปชช.

วันที่ 17 ธันวาคม ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำพิธี รับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 

"อภิสิทธิ์"เปิดใจภารกิจแรก"ยุติแบ่งสี" ประกาศปราบศัตรูงาน ยืนยันจะฟังเสียงปชช.


"อภิสิทธิ์" เปิดใจหน้าที่เบื้องต้นคือการยุติการเมืองที่ล้มเหลว การเมืองที่ล้มเหลวคือต้นเหตุความชัดแย้ง ส่งผลให้การแบ่งฝ่าย แบ่งภาค แบ่งสี ลั่นใครที่คิดร้ายต่อบ้านเมืองถือเป็นศัตรูงาน สานต่อโครงการรักษาฟรี กองทุนชุมชน ยันฟังทุกเสียงของประชาชนแม้จะทำให้ทุกคนรักไม่ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า

 

"ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ผมสำนึกเสมอว่า ผมเกิดมาเป็นข้าแผ่นดินต้องสนองคุณแผ่นดิน สำนึกตลอดว่า แผ่นดินร่วมเย็นตลอดมาเพราะพระบารมี ขอยืนยันตรงนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง"


นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอบคุณเพื่อนสมาชิกในสภาฯ พี่น้องประชาชนที่ให้กำลังใจทำให้ตนมายืนตรงนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ทราบดีถึงสถานการณ์การเมืองที่ไม่ปกติ หรือเรียกว่าเป็นสถานการณ์วิกฤต แต่เมื่อเป็นนักการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย เมื่ออาสาสมัครมาทำงานแล้วจะไม่หนีปัญหา หรือปฏิเสธความรับผิดชอบ เมื่อเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนตนมาตามวิถีทางประชาธิปไตยและตามกระบวนการรัฐสภา


หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หน้าที่เบื้องต้นคือการยุติการเมืองที่ล้มเหลวการเมืองที่ล้มเหลวคือต้นเหตุความชัดแย้ง ส่งผลให้การแบ่งฝ่าย แบ่งภาค แบ่งสีเกิดขึ้น การขจัดการเมืองที่ล้มเหลวคือการนำความสมัครสมานสามัคคีคืนมา อาศัยความยุติธรรม เป็นรัฐบาลภายใต้การนำนิติธรรม นิติรัฐ บังคับใช้กฎหมายเสมอภาพ อย่างไรก็ตาม ยืนยันทำงานให้คนไทยทุกคน ไม่ว่าเลือกหรือไม่เลือกตน ไม่ว่าสนับสนุนหรือไม่ หากท่านไม่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ก็ไม่ถือเป็นศัตรู งานใดเป็นประโยชน์แม้เป็นของรัฐบาลก่อน ก็จะไม่ทิ้ง สานต่อ ไม่ว่าโครงการรักษาฟรี กองทุนในชุมชนต่างๆ


ทราบดีว่า ปัญหาเร่งด่วนในใจประชาชนคือปัญหาเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงเป็นงานสำคัญ ตั้งใจดูแลเกษตรกรเต็มที่ ไม่ให้รับผลกระทบจากราคาพืชผลตกต่ำ ส่วนประชาชนนอกภาคเกษตรจะมีงานทำรายได้และโอกาส จะทำทุกวิถีทางเพื่อลดภาระค่าครองชีพ ตามแนวทางวาระประชาชน ทันทีที่แถลงนโยบายต่อสภา จะนำเสนอแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกสาขา


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกันแม้ว่าบ้านเมืองจะมีวิกฤตอย่างไร เราจำเป็นต้องแก้ปัญหาระยะยาวด้วย ไม่ปล่อยให้ปัญหาหมักหมมหรือตกค้าง โดยเฉพาะงานศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนค้มค่าสุดของประเทศ รวมถึงโครงการพื้นฐานต่างๆ เช่น พัฒนาแหล่งน้ำ ถนน การคมนาคม การสื่อสาร อินเตอร์เน็ต พลังงานทดแทน ไม่เพียงแต่อยากให้เราฝ่าวิกฤตหรือแข่งขันประเทศอื่น แต่อยากเห็นประเทศไทยเป็นต้นแบบพัฒนาตามประชาธิปไตยที่มีคุณภาพยั่งยืน นอกจากนี้ ตนกำลังจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน อยากให้เพื่อนอาเซียนมั่นใจการนำของเรา ในฐานะประธานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จะมีเร็วที่สุด


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในฐานะนักการเมืองอาชีพ ผมได้รับโอกาสสูงสุด จากประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตยอยู่ในการเมืองมา 16 ปี เป็นผู้แทน 7 สมัย เคยเป็นรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ปัจจุบันตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมือง ความรู้ประสบการณ์ทั้งหมดจะนำมาใช้บนพื้นฐานความซื่อสัตย์เพื่อส่วนร่วม ยืนยันจะไม่ละทิ้งอุดมกรณ์การทำงาน และปล่อยสิ่งเหล่านั้นให้สูญหายกับการใช้อำนาจ หลือปล่อยสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นในบ้านเมือง

 

"ผมไม่ลืมพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของพี่น้อง คือความสันติสุข ความสงบสุขที่รอคอยคือความสุขของท่าน ผมไม่ลืมพี่น้องชาวเหนือเมื่อครั้งที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนหลายคครั้งในยามทุกข์ ยามสุข ที่ประสบภัยพิบัติหลายครั้ง และยังจำได้ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตามรถแห่หาเสียงตะโกนบอกว่าอยากฝากบ้านเมืองให้ผมดูแล"

 

พี่น้องชาวอีสาน ผมได้ทราบทุกข์สุขของท่าน ไม่ลืมวันที่ปั้นข้าวเหนียวที่ไร่มันสัมปะหลังและอดที่จะเอ่ยถึงไม่ได้ คือคุณนายเนียน ที่ อ.ม่วง จ.อุบลราชธานี ที่ได้มอบแหวนวงนี้(ชูแหวน)ให้ผม และได้หมั้นผมกับคนอีสานไว้แล้ว วันนี้ผมได้ทำงานให้คนอีสานของท่านและจะทำงานร่วมกับท่านด้วยความซื่อสัตย์

 

"ผมว่าคนหนึ่งคนไม่สามารถแก้ไขทำให้คนรักผม เห็นด้วยหรือสนับสนุนผมได้ทุกคน แต่ยืนยันว่าผมจะฟังเสียงทุกคน ทำงานให้ทุกคน ทำงานของผมพิสูจน์ความตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชนทุกคนนและพิสูจน์ทุกอย่าง"

 

แม้ว่าผมจะใช้ชีวิตในต่างแดนแต่ไม่เคยรู้สึกว่าจะมีที่ไหนน่าอยู่เท่ากับประเทศไทยผมเชื่อมั่นในประเทศไทย เชื่อว่าไม่ว่าเจออุปสรรคปัญหา เชื่อว่าคนไทย พลังของพวกเราจะทำให้ประเทศเราผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้และฝ่าวิกฤตเพื่ออนาคตของลูกหลานคนไทยทุกคนเราทำได้
ชมวีดีโอ นายกฯคนที่ 27 : เวลา 18.29 น. วันที่ 17 ธันวาคม ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำพิธี รับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 พร้อมเปิดใจ ภารกิจแรก"ยุติแบ่งสี" (คลิกดู VDO)
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10:48:15 น.  มติชนออนไลน์ 

พลิกปูม"อภิสิทธิ์ "นายกฯคนที่ 27ของไทยและคนที่ 4 ของ ปชป.มหาบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ1จากอ๊อกฟอร์ด 

สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ลงมติด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 198  (งดออกเสียง 3) เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27  และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกอบไปด้วย นายควง อภัยวงศ์(4สมัย) ,ม.ร.ว.สเนีย์ ปราโมช (4 สมัย) นายชวน หลีกภัย (2สมัย)

 

สำหรับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มี พ.อ.ถนัด คอมันตร์ นายพิชัย รัตตกุล นายบัญญัติ บรรทัดฐาน

 

นายอภิสิทธิ์ มีประวัติดังต่อไปนี้

 

กิด วันที่ 3 สิงหาคม 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ


บุตร ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกราชบัณฑิตยสถาน-ศ.พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ


สมรส ดร. พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย) เวชชาชีวะ อาจารย์ประจำ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


บุตร - ธิดา 2 คน คือ ด.ญ.ปราง เวชชาชีวะ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ


การศึกษา ปริญญาตรีด้านปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง


ประวัติการทำงาน


อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพมหานคร มี.ค. 2535 , ก.ย.2535 , 2538 และ 2539 ,2544,2550


ปี 2535-2537 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ปี 2537 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายศุภชัย พานิชภักดิ์)


ปี 2538-2539 ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร


ปี 2538-2540 โฆษกพรรคประชาธิปัตย์


ปี 2540-2544 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ปี 2542 รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


ปี 2548 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

 

 

เด็กชายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือมาร์ค เกิดที่เมืองนิวคาสเซิลประเทศอังกฤษเป็นลูกชายคนเดียวและคนสุดท้องในจำนวน 3 คน ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ และ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ

 

เมื่อมีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะก็เดินทางกลับเมืองไทย เด็กชายอภิสิทธิ์เข้าเรียน ชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลยุคลธร และต่อมาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

 

หลังจากนั้นก็เดินทางไป เรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนสเกทคลิฟ และที่โรงเรียนอีตัน นับเป็นช่วงที่อภิสิทธิ์ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำเป็นเวลาหลายปี

 

นอกจากหลักสูตรการเรียนที่ท้าทาย กฎระเบียบด้านวินัยที่เข้มงวดแล้ว โรงเรียนที่อังกฤษยังกำหนดให้ นักเรียนทุกคนต้องออกกำลังกายอีกด้วย จึงทำให้อภิสิทธิ์ได้หัดเล่นกีฬาหลายประเภท และที่ถนัดมากที่สุดคือ ฟุตบอล ซึ่งได้กลายเป็นกีฬาที่โปรดปราน ของอภิสิทธิ์มาจนถึงทุกวันนี้

 

อภิสิทธิ์เป็นผู้ที่ติดตามการแข่งขันฟุตบอล ของสโมสรต่าง ๆ ในอังกฤษ (เป็นแฟนที่เหนียวแน่น ของสโมสรนิวคาสเซิล) และการแข่งขันระดับโลกสำคัญ ๆ มาตลอด (เป็นผู้ที่สามารถวิจารณ์ผู้เล่น ครูฝึกสอน และผู้จัดการของทีมฟุตบอลต่าง ๆ ได้คมชัดอย่างที่ไม่มีใครนึกถึง)


ในช่วงเวลาที่ว่างจากการเรียน และการเล่นกีฬา อภิสิทธิ์ก็ผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรีแนวร็อค ตั้งแต่ป๊อปร็อคไปจนถึงเฮฟวี่เมทัล โดยมีวงดนตรีที่โปรดปรานหลายวง เช่น อาร์อีเอ็ม อีเกิ้ลล์ และโอเอซิส


เมื่อจะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี อภิสิทธิ์ได้เลือกเรียนในสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด


ในช่วงที่อยู่ที่อ๊อกซฟอร์ด การใช้ชีวิตของอภิสิทธิ์ก็ต้องปรับเปลี่ยนอีกครั้ง จากเดิมที่ต้องอยู่ภายในกฎ ระเบียบของโรงเรียนประจำ ได้รับอิสระ เสรีภาพมาก สามารถใช้เวลาว่าง ได้ตามใจมากขึ้น ซึ่งอภิสิทธิ์ก็ได้ใช้เวลาเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของมหาวิทยาลัย


ในสภานักศึกษา อภิสิทธิ์ใช้เวลาเรียนที่อ็อกซฟอร์ด 3 ปี จนจบและได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่สอง ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับนี้ และในระหว่างนี้ได้ศึกษาต่อ ในคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย


หลังจากจบปริญญาตรี อภิสิทธิ์ก็เดินทางกลับประเทศไทย และเข้ารับราชการทหารโดยสอนหนังสือ ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่เขาชะโงก จังหวัดนครนายก ก่อนที่จะกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ที่อ๊อกซฟอร์ด ในสาขาเศรษฐศาสตร์


ในช่วงก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อปริญญาโท อภิสิทธิ์ได้แต่งงานกับ น.ส.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกสาวหนึ่งคน และลูกชายหนึ่งคน (ปราง และ ปัณณสิทธิ์)


เมื่อจบปริญญาโท อภิสิทธิ์ได้กลับมาสอนหนังสืออีกครั้ง ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเข้ามา "ทำงาน" การเมืองตั้งแต่เด็ก การตัดสินใจของอภิสิทธิ์จึงมีแนวทางที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสาขาที่จะเรียน การทำกิจกรรม หรือการพยายามติดตามข่าวสารบ้านเมืองแม้ว่าจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1229312007&grpid=10&catid=01

อภิสิทธิ์รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ [17 ธ.ค. 51 - 18:39]

เมื่อเวลา 18.22 น. นายพิทูรย์ พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาถึงที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ อาคาร 100 ปีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

 

จากนั้น นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ดังนี้

 

พระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี พระปรมาภิไธย ภูมิพลอดุลยเดช ปร. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า

 

ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 5 และประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภาผู้แทนราษฎรได้มติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  

 

จึงทรงพระราชดำริว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

          

ประกาศ ณ วันที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2551 เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

นายชัย ชิดชอบ

ประธานสภาผู้แทนราษฎร

 

จากนั้นนายพิทูรย์ ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการ ไว้ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา หน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำพิธีรับพระบรมราชโองการ เป็นอันเสร็จพิธี

 ที่มาhttp://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=115564

ในหลวงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง “อภิสิทธิ์” นายกฯคนที่ 27 [17 ธ.ค. 51 - 18:12]

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ (17 ธ.ค.) ว่า ตลอดทั้งวันยังคงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนที่มาปักหลักรอทำข่าวกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งในส่วนของพรรค ได้มีการจัดเตรียมสถานที่ภายในห้องประชุมชั้น 3 อาคารหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เอาไว้สำหรับรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเอาไว้พร้อมแล้ว และได้จัดห้องรับรองด้านข้างไว้ให้ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่แถลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังเสร็จพิธีการ

 

เมื่อเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

 

ในการนี้นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

ที่มา  http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=115562